วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภูเก็ตทัวร์ :: เที่ยวเข้าป่าชมต้นน้ำ


จากตัวเมืองภูเก็ตไปตามเส้นทางถนนเทพกระษัตรี เป็นระยะทาง 18 กม. เมื่อถึงสี่แยกถลางเลี้ยวขวา ไปอีกประมาณ 2 กม. ก็จะพบป่าเขาพระแทวอยู่เบื้องหน้า สถานีฯ แห่งนี้เป็นหน่วยงานที่ให้ความร ู้และ ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่า ได้รับประกาศให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2523 มาสภาพเป็นป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธ์ไม้นานาชนิด โดยเฉพาะพันธ์ปาล์มหายาก ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ปาล์มหลังขาว" ซึ่งพบเป็นแห่งแรกในโลก ทั้งยังเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า และนก นานาชนิดและเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของจังหวัดด้วยนอกจากนี้ภายในบริเวณยังมีน้ำตกให้เที่ยวชม อีกสองแห่งคือ



น้ำตกโตนไทร
เป็นน้ำตกขนาดเล็ก ซึ่งจะมีน้ำไหลแรงในช่วงฤดูฝน บรรยากาศร่มรื่น ไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ให้ร่มเงา เหมาะแก่การพักผ่อน หย่อนใจ


น้ำตกบางแป
ซึ่งอยู่ห่างจากน้ำตกโตนไทรประมาณ 4 กม. โดยเส้นทางเดินเท้า หากจะใช้เส้นทางรถ ต้องกลับออกมาที่สี่แยกถลางเลี้ยวซ้ายเข้าเมือง เมื่อถึงอนุเสาวรีย์ท้าวเทพฯ ให้เลี้ยวซ้ายไปอีก 8 กม. จะมีป้ายน้ำตกบางแปทางด้านซ้ายมือ จากนั้นเลี้ยวไปตามเส้นทางน้ำตกบางแปอีก 1 กม. น้ำตกบางแปเป็นน้ำตกเป็นน้ำตกขนาดเล็กที่มีสวนรุกขชาติร่มรื่น น้ำไหลแรงตลอดปี ภายในบริเวณน้ำตกเป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์ชะนีหรือสถานอนุบาลชะนี ซึ่งเป็นโครงการเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของชะนีที่ถูกจับมาเลี้ยงให้พร้อมที่จะกลับสู่ป่าต่อไป

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภูเก็ตทัวร์ :: ท่องเที่ยว หมู่เกาะพีพี



หมู่เกาะพีพี


เป็นหมู่เกาะอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อยู่ในตำบลอ่าวนาง เขตอำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ มีระยะทางระหว่างจากจังหวัดกระบี่ประมาณ 42 กิโลเมตร และห่างจากเกาะภูเก็ตประมาณ 40 กิโลเมตร หมู่เกาะพีพีประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ รวมกัน 6 เกาะ ซึ่งประกอบด้วย เกาะพีพีดอน เกาะพีพีเล เกาะบิด๊ะนอก เกาะบิด๊ะใน เกาะยูง เกาะไผ่ นอกจากเกาะต่าง ๆ แล้วยังมีเวิ้งอ่าวที่สำคัญได้แก่ อ่าวโล๊ะลาน่า อ่าวโล๊ะดาลัม อ่าวหยงกาเส็ม อ่าวต้นไทร อ่าวโล๊ะบาเกา อ่าวผักหนาม อ่าวรันตี อ่าวบิเล๊ะ อ่าวมาหยา และอ่าวโล๊ะซามะลักษณะเด่นของหมู่เกาะพีพี หมู่เกาะพีพีมีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้น 11.2 ตร.กม. เฉพาะเกาะพีพีดอนซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด มีเนื้อที่ประมาณ 9.408 ตร.กม.สภาพโดยทั่วไปของหมู่เกาะพีพี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาโดยเฉพาะภูเขาหินปูนสูงชัน พื้นที่ราบและหาดทรายกระจายอยู่ทุกเกาะตลอดจนมีแนวปะการัง และสรรพชีวิตใต้ทะเลอุดมสมบูรณ์ หาดทรายขาวสะอาด มีปลาทะเลชนิดต่างๆ หลากหลายสีสัน และจะมีแพลงตอนจำนวนมาก น้ำทะเลมีสีเขียวอมฟ้าใสงามดังมรกต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกในความงดงามตามธรรมชาติจนได้รับการขนานนามว่าเป็น " มรกตแห่งอันดามันสวรรค์เกาะพีพี" เหมาะแก่นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปชมทัศนียภาพทางทะเลเป็นอย่างดี


อ่าวมาหยา




เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงทั้งในด้านความสมบูรณ์ทางธรรมชาติและ ชื่อเสียงในด้านใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่อง The Beach โดยลักษณะทั่วไปของอ่าวมาหยา จะมีภูผาที่ปกครอบด้วยพรรณไม้สีเขียวโอบล้อมเปรียบเสมือนกำแพงอ่าว น้ำทะเลที่ใสดุจดังกระจกสามารถมองเห็นพื้นทรายหรือปะการังเบื้องล่างได้อย่างง่าย เมื่อขึ้นสู่ชายหาดจะสัมผัสได้กับพื้นทรายที่ขาวนวลละเอียด และเมื่อมองออกไปเบื้องหน้าภายนอกเปรียบเสมือนเราถูกโอบล้อมด้วยขุนเขามีเบื้องหน้าเปรียบเสมือนประตูเข้ามา ยามผู้คนน้อยนิดไม่ผิดอะไรกับอีกโลกหนึ่งที่เราสัมผัสได้ ช่วงเหมาะกับการเที่ยวอ่าวมาหยานั้นอยู่ในช่วงตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งในช่วงนี้จะมีสภาพคลื่นลมไม่แรง เพราะถ้าคลื่นลมแรงจะทำให้น้ำบริเวณนั้นขุ่นไม่ใส และช่วงนี้หาดทรายจะทอดตัวเป็นแนวราบยาวลงทะเล แต่ถ้าเป็นช่วงมรสุมจะมีสภาพคลื่นลมค่อนข้างแรงมาก ไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ และบริเวณหาดทรายจะถูกคลื่นซัดยกตัวขึ้นสูงจนบางครั้งไม่สามารถขึ้นสู่ฝั่งได้ และการเดินทางไปบริเวณอ่าวมาหยาในช่วงมรสุมนั้นถือว่าค่อนข้างอันตรายมาก ยิ่งถ้าเป็นเรือเล็กขอห้ามโดยเด็ดขาด


โละซามะ




เนื่องจากบริเวณนี้อยู่เข้าไปด้านในมีเกาะเล็กเป็นเสมือนกำบังลมจึงทำให้บริเวณนี้นักท่องเที่ยวมักนิยมนำเรือมาลอยลำเพื่อลงดำผิวน้ำ ดูปะการัง และสนุกกับฝูงปลามากมาย ที่คอยแหวกว่ายรอบตัวเรา บริเวณสามารถเข้าท่องเที่ยวได้ตลอด แต่ช่วงระยะที่เดินทางภายนอกก่อนเข้าไปในโละซามะต้องใช้ความระมัดระวังในช่วงหน้ามรสุมเพราะคลื่นลมแรง แต่ถ้าสามารถเข้าไปบริเวณด้านในจะค่อนข้างสงบเพราะมีเกาะเล็ก ๆ บังลมและคลื่นไว้


ปิเละ




เป็นสถานที่อยู่ภายในเข้าไปในหุบเขา โดยเรือสามารถแล่นเข้าไปภายใน ( ต้องระวังเรื่องระดับน้ำด้วย ) และเมื่อเข้าไปภายในจะเปรียบเสมือนคล้ายลากูนใหญ่ ที่มีขุนเขากั้นรอบด้าน ท้องน้ำที่เรียบสงบ ใสดุจดังกระจก เหมาะอย่างยิ่งในการลงเล่นน้ำ จึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมลอยลำลงเล่นน้ำบริเวณนี้ บริเวณปิเละจะไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับคลื่นลมเท่าไรในช่วงหน้ามรสุม แต่จะลำบากในช่วงเดินทางเข้าไปเท่านั้น


หาดยาว




เป็นชายหาดที่ตั้งอยู่บนเกาะพีพีดอน มีลักษณะแนวหาดชายที่ทอดตัวยาว บริเวณแห่งนี้มีน้ำทะเลที่ใสมาก แต่จะมีลักษณะที่ทอดตัวลงทะเลและหักเป็นก้นกะทะ จึงต้องระวังในการเล่นน้ำด้วย บริเวณหาดทรายยามเมื่อกระทบแสงแดดทำเกิดแสงสะท้อนมาก เนื่องจากเป็นหาดทรายที่ขาวนวลละเอียด และบริเวณนี้ยังมีรีสอร์ท และบังกะโล เปิดให้บริการมากมายตลอดแนว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพักผ่อนนอนแอบแดด บริเวณหาดยาวเหมาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงไม่มีคลื่นลม ทะเลเรียบน้ำจะใสมาก แต่หลังจากช่วงดังกล่าวเป็นช่วงมรสุมอาจมีคลื่นลมบ้าง และน้ำจะไม่ใสเท่าที่ควรเพราะคลื่นซัดทำให้น้ำขุ่น แต่ก็สามารถท่องเที่ยวได้




หินแพร




เป็นแนวหินที่อยู่ไม่ไกลจากฝั่งสามารถว่ายไปถึงได้ บริเวณนี้จะมีแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์สวยงาม และฝูงปลาหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ จึงเหมาะอย่างยิ่งในการดำผิวน้ำ ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมนำเรือมาลอยผูกทุ่นเพื่อดำผิวน้ำกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ด้านหน้าของหาดยาว ดังนั้นสภาพอากาศจึงไม่แตกต่างจากหาดยาวมากนัก


เกาะไผ่




เป็นเกาะส่วนหนึ่งของหมู่เกาะพีพี ตั้งอยู่บริเวณตรงข้าม แนวแหลมตง เป็นเกาะที่มีหาดทรายขาวสะอาดมาก และน้ำทะเลที่ใส เหมาะแก่การเล่นน้ำ พักผ่อน ภายในบนเกาะยังมีป่าสนคอยให้ความร่มรื่น และบริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานอุทยานแห่งชาติ มีห้องน้ำบริการนักท่องเที่ยว บริเวณเกาะไผ่ในช่วงมรสุมในบางครั้งไม่สามารถนำเรือขึ้นเทียบหาดได้ เพราะคลื่นลมจะค่อนข้างแรง และสภาพน้ำทะเลไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ


เกาะนกยูง




เป็นเกาะที่อยู่ตรงข้ามกับเกาะไผ่ เป็นเกาะที่เมื่อเวลาน้ำขึ้นจะไม่มีแนวชายหาด จะมีแนวชายหาดเฉพาะน้ำลงเท่านั้น นักท่องเที่ยวไม่นิยมเดินทางมามากนัก เพราะลักษณะโดยทั่วไปเป็นเขาสูงไม่สามารถขึ้นไปด้านบนได้


อ่าวต้นไทร




บริเวณแห่งนี้ถือว่าเป็นจุดที่มีการพัฒนาความเจริญมากที่สุด เป็นบริเวณที่มีผู้คนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ พักอาศัย และประกอบอาชีพหลากหลายอยู่ และเป็นจุดที่ให้บริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของเกาะพีพี อาทิ การดำน้ำลึก การเช่าเรือท่องเที่ยวรอบหมู่เกาะพีพี มีร้านอาหาร และสินค้าที่ระลึกมากมาย ปัจจุบันนี้ ( พฤษภาคม 2549 ) สภาพของอ่าวต้นไทร ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบริเวณนี้มีท่าเทียบเรือ ซึ่งเรือที่เดินทางจากสถานที่ต่าง ๆจะมาเทียบท่าบริเวณนี้ ดังนั้นเมื่อเรือเข้าออกเป็นจำนวนมาก จึงเกิดมลภาวะเกี่ยวกับน้ำทะเลในด้านของเสียที่ปล่อยจากเรือทำให้น้ำบริเวณไม่สะอาดเท่าที่ควร และหาดทรายบริเวณนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการพักผ่อน แต่อ่าวต้นไทรเหมาะแก่การเดินชมทิวทัศน์ และการค้าขายในรูปแบบต่าง และที่แห่งนี้ยังมีจุดชมวิวจากบนเขาลงมาเห็นภาพข้างล่างของอ่าวต้นไทรได้สวยงามมาก ที่อ่าวต้นไทรยังเป็นแหล่งบันเทิงในหลายรูปแบบยามค่ำคืน ที่นี่จึงไม่เหงาแม้ผู้คนจะมากหรือน้อย


แหลมตง




เป็นบริเวณที่ตั้งของรีสอร์ท และร้านอาหาร นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวบริเวณนี้โดยมากจะเป็นลูกค้าของรีสอร์ทที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ และที่แห่งนี้เหมาะอย่างยิ่งกับผู้รัก

ภูเก็ตทัวร์ :: ทางทะเล : เดินทางด้วยเรือเร็ว Speed Boat


จากครั้งที่แล้ว ที่เราบรรยายถึงการท่องเที่ยวทางทะเลด้วยเรือใหญ่กันมาแล้ว ครั้งนี้เรากลับมาด้วยข้อมูลเชิงลึกจากประสบการณ์จริงที่ได้คัดสรร กลั่นกรองออกมาให้คุณ กับการท่องเที่ยวทางทะเลด้วยเรือเร็ว หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Speed Boat ซึ่งครั้งนี้ เราจะบรรยายถึงวิธีการนั่งเรือเร็วให้ทุกคนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ คุณหลายๆคนคงอาจจะคิดว่า แล้วมันจะต่างกันยังไงล่ะ นั่งเรือก็คือนั่งเรือ จะต่างกันหรอกับการนั่งเรือใหญ่กับเรือเร็ว เราขอบอกได้เลยว่า ต่างกันครับ ซึ่งรายละเอียดต่างๆ เราได้เตรียมไว้ให้คุณแล้ว ไปกันเลยครับการเดินทางโดยเรือเร็ว Speed boatการท่องเที่ยวทะเลตามเกาะต่าง ๆ โดยใช้เรือเร็ว เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก ซึ่งความรู้สึกและบรรยากาศจะแตกต่างจากเรือใหญ่ค่อนข้างมาก เรือเร็วที่ใช้ในการท่องเที่ยวในฝั่งอันดามันนั้น โดยมากบริเวณท้องเรือจะเป็นรูปตัววี ซึ่งจะแตกต่างจากเรือเร็วฝั่งอ่าวไทย เพราะสามารถที่จะโต้คลื่นลมได้เป็นอย่างดี สามารถทำความเร็วได้ตามต้องการ ลักษณะเรือเป็นเรือชั้นเดียว มีหลังคาผ้าใบ โดยมากจะเป็นเรือ 2 เครื่องยนต์ ขนาดบรรจุ 20-23 คน ปัจจุบันมีขนาดถึง 3 เครื่องยนต์ สามารถบรรจุผู้โดยสารได้ถึง 30-35 คน และอนาคตกำลังจะมีถึง 4 เครื่องยนต์

ข้อควรระวังในการเดินทางโดยเรือเร็ว

เนื่องจากเรือใช้ความเร็วค่อนข้างสูงในการวิ่ง จึงไม่ควรเดินไปมาภายในเรือโดยเด็ดขาด
การนั่งเรือเร็วที่มีการจัดให้มีที่นั่งสองแถวด้านข้างนั้น ควรแบ่งจำนวนผู้โดยสารให้เท่ากันทั้งสองข้าง เพื่อเป็นการถ่วงสมดุลของตัวเรือ
ขณะนั่งเรือ การนั่งตัวตรงได้นั้นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และไม่ควรนั่งเกร็ง ควรปล่อยตามสบายไปตามสภาพแรงที่เรือกระทบผิวน้ำ
ไม่ควรก้มลงหยิบสิ่งของใดๆ ขณะเรือวิ่งด้วยความเร็วสูงอยู่
พยายามหลีกเลี่ยงที่นั่งบริเวณด้านหน้าหรือหัวเรือ เพราะบริเวณดังกล่าวจะมีการกระแทกผิวน้ำมากที่สุด ควรนั่งระหว่างกลางหรือท้ายเรือดีที่สุด เพราะท้ายเรือคือส่วนที่เป็นเครื่องยนต์ที่ต้องสัมผัสน้ำตลอดเวลา
ควรสวมเสื้อชูชีพขณะอยู่บนเรือทุกครั้ง
การดื่มเครื่องดื่มทุกชนิดขณะเรือกำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง ควรใช้หลอดดูดดีที่สุด มิฉะนั่นถ้าดื่มจากขวดอาจเกิดการกระแทกขวดกับปากหรือฟันได้

ข้อดีในการเดินทางด้วยเรือเร็ว

เนื่องจากเป็นเรือที่ใช้ความเร็ว ทำให้การเดินทางถึงที่หมายได้เร็ว
เป็นเรือที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงทำให้การเดินทางค่อนข้างจะไม่วุ่นวายมากนักเพราะผู้ร่วมเดินทางน้อย สามารถดูแลได้ทั่วถึง
เป็นเรือที่มีขนาดไม่ใหญ่และกินน้ำไม่ลึก จึงทำให้สามารถเข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวได้โดยมิต้องเปลี่ยนถ่ายเรือ และสามารถถอยหลังเข้าเทียบหาดทรายได้
เป็นการเดินทางที่เหมาะกับผู้ชมบรรยากาศ และอากาศธรรมชาติ เพราะลมถ่ายเทสะดวกไม่ปรับอากาศ

ข้อเสียในการเดินทางด้วยเรือเร็ว

เนื่องจากเป็นเรือขนาดไม่ใหญ่ จึงไม่เหมาะกับสภาพทะเลที่มีคลื่นลม แรง
ห้องน้ำภายในเรือไม่สะดวกในการใช้งานเพราะมีขนาดเล็ก และแคบเกินไป
เนื่องจากขณะที่เรือวิ่งจะเกิดการกระแทกผิวน้ำเป็นระยะตลอดเส้นทางจึงไม่เหมาะกับผู้สูงอายุ และเด็กอ่อน
ไม่ควรและไม่เหมาะสมในการใช้เดินทางเส้นทางที่ไกลๆ
ถึงอย่างไรก็ดีการเดินทางโดยใช้เรือเร็ว ยังถือว่าเป็นการเดินทางทริปท่องเที่ยวทางทะเลของทะเลอันดามันยังเป็นที่นิยมและสนใจมากพอสมควร ทั้งนี้และ

ภูเก็ตทัวร์ :: ท่องเที่ยว ในรูปแบบ ผจญภัย : เกาะไข่นอก, เกาะไข่นุ้ย


เกาะไข่นอก เป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเกาะภูเก็ตไม่มากนัก กรณีใช้เรือเร็วเดินทางจะใช้เวลาเพียง 15 นาทีจากบริเวณเกาะสิเหร่ เกาะไข่นอกเป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเลอันดามัน ตลอดแนวรอบเกาะจะมีหาดทรายที่ขาวนวลละเอียด บริเวณพื้นที่ของหาดทรายจะกว้างมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับน้ำทะเลยามเมื่อน้ำลดแนวหาดทรายจะกว้างมีบริเวณมากและกลับกันเมื่อน้ำขึ้นจะมีแนวหาดทรายน้อย เกาะไข่นอกนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการพักผ่อนเล่นน้ำ เนื่องจากมีน้ำทะเลใสดุจดังกระจก ด้านหลังของเกาะจะมีปลาเสือและปลาหลากหลายนานาชนิดอาศัยอยู่เป็จำนวนมาก นักท่องเที่ยวสามารถลงไปยืนและให้อาหารแก่ฝูงปลาจากมือของนักท่องเที่ยวได้เอง บริเวณที่ฝูงปลาอาศัยจะไม่ไกลจากฝั่งจนแทบจะริมหาดทราย ถือว่าเป็นฝูงปลาธรรมชาติที่คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวมากที่สุด และรอบๆ บริเวณของเกาะยังมีแนวปะการังเขากวาง และปะการังหิน ที่สวยงามอีกด้วยเกาะไข่นุ้ย บริเวณพื้นที่โดยส่วนมากจะเป็นหิน ดังนั้นจึงไม่นิยมขึ้นสู่เกาะไข่นุ้ย แต่บริษัทที่ให้บริการจะพานักท่องเที่ยวลอยลำบริเวณใกล้ๆ และให้นักท่องเที่ยวลงดำผิวน้ำดูปะการัง และปลาสวยงามการเดินทางท่องเที่ยวเกาะไข่นอก และเกาะไข่นุ้ยนั้น โดยมากนิยมเดินทางด้วยเรือเร็ว ซึ่งใช้เวลาจากฝั่งภูเก็ตถึงเกาะเพียง 15 นาทีเท่านั้น บนเกาะมีการจัดการที่เป็นระบบได้ดีพอสมควร มีร้านอาหารบริการ พร้อมห้องน้ำ และบริเวณโดยรอบเกาะจะมีเก้าอีชายหาดไว้บริการแก่นักท่องเที่ยว
จุดเด่นของเกาะไข่นอก และเกาะไข่นุ้ยนั้น เป็นเกาะที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทั้งปี ใช้เวลาในการเดินทางน้อย และสามารถเลือกมุมหลบคลื่นลมได้ มีหาดทรายและน้ำทะเลที่ใสสะอาด ฝูงปลาสวยงามหลากหลายนานาชนิดให้เราได้เพลิดเพลินสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกเด็กๆ ถือว่าเป็นอีกเกาะหนึ่งที่เหมาะแก่การพักผ่อนเล่นน้ำ ในรูปแบบไปเช้าเย็นกลับเพราะไม่มีสถานที่พักใดๆ

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภูเก็ตทัวร์ :: วันปิยมหาราช - 23 ตุลาคม


ความเป็นมา :
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดทั่วขอบขัณฑสีมาปวงประชาราษฎร์ถือว่าพระองค์คือพระราชบิดาแห่งตนและประเทศชาติ รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็นวัน “ปิยมหาราช” และเมื่อถึงวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปีจะมีการวางพวงมาลาดอกไม้ที่พระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชประวัติ :
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ และสมเด็จพระเทพศิริน-ทราบรมราชินี ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 พระนามเดิมว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์” เมื่อพระชนม์ 9 พรรษาได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ ต่อมาอีก 4 ปี ได้เลื่อนเป็น “กรมขุนพินิตประชานาถ” บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เนื่องจากขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 16 ปี ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญพระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญพระมหาอุปราช ระหว่างที่ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ก็ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม ยิ่งกว่านั้นในตอนนี้ยังได้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา 2 ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย 1 ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรปนำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตนเพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทย ให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืนและนั่งตามโอกาสสมควรไม่จำเป็นต้องหมอบคลานเหมือนแต่ก่อน เมื่อมีพระชนมายุใกล้บรรลุนิติภาวะจึงได้เสด็จออกทรงผนวชเป็นภิกษุ เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2416 และลาผนวช เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2416 แล้วโปรดให้มีการราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2416 เพื่อแสดงให้ประชาชนและชาวต่างประเทศทราบว่าพระองค์ทรงรับผิดชอบในการปกครองบ้านเมืองด้วยพระองค์เองแล้ว
พระราชานุสาวรีย์ :
รัชสมัยของพระองค์ เป็นรัชสมัยแห่งการปฏิวัติแทบจะทุกทาง เหตุนี้ประชาชนจึงพร้อมใจกันเรี่ยไรเงินสร้างอนุสาวรีย์อย่างใดอย่างหนึ่งไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระองค์ บังเอิญประจวบเหมาะกับพระองค์เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2450 ทรงพอพระทัยพระบรมรูปหล่อของพระเจ้าหลุยส์จึงขอให้พระองค์ไปประทับนั่งให้ชาวฝรั่งเศสปั้น แล้วหล่อส่งเข้ามาในประเทศ โปรดให้ประดิษฐานไว้ ณ พระลานหน้าพระราชวังดุสิต ทรงประกอบพระราชพิธีเปิดพระบรมรูปนี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451
พระบรมรูปทรงม้านี้ ขนาดทั้งพระบรมรูปและม้า ทรงทำโตกว่าของจริงเล็กน้อย โดยหล่อด้วยโลหะชนิดทองบรอนซ์ พระบรมรูปประดิษฐานบนแท่นหินอ่อนอันเป็นแท่นรองสูงประมาณ 6 เมตร กว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาว 5 เมตรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์บดินทรเทพยมหามงกุฎ บุรุษรัตนราชรวิวงษวรุตมพงษบริพัต วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ บรมธรรมมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จดำรงราชสมบัติมาถึง 42 ปีเต็มบริบูรณ์ เป็นรัชสมัยที่ยืนนานยิ่งกว่าสมเด็จพระมหาราชาธิราชแห่งสยามประเทศในอดีตกาล
พระองค์กอร์ปด้วยพระราชกฤษฎาภินิหาร เป็นอัจฉริยภูมิบาลบรมบพิตร เสด็จสถิตในสัจธรรมอันมั่นคงมิหวั่นไหว ทรงอธิษฐานพระราชหฤทัยในทางที่จะทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้สถิตสถาพรและให้เกิดความสามัคคีสโมสร เจริญสุขสำราญทั่วไปในเอนกนิกร ประชาชาติเป็นเบื้องหน้า พระราชจรรยาทรงพระสุขุมปรีชาสามารถสอดส่องวินิจฉัย ในคุณโทษแห่งประเพณีเมือง ทรงปลดเปลื้องโทษ นำประโยชน์มาบัญญัติ โดยปฏิบัติพระองค์ทรงนำหน้า ชักจูงประชาชน ให้ดำเนินตามในทางที่งามดีมีประโยชน์เป็นแก่นสาร พระองค์ทรงทำให้ความสุขสำราญแห่งประชาราษฎร์สำเร็จได้ ด้วยอาศัยดำเนินอยู่เนืองนิจในพระวิริยะและพระขันติคุณอันแรงกล้า ทรงอาจหาญในพระราชจรรยา มิได้ย่อท้อต่อความลำบากยากเข็ญ มิได้เห็นข้อขัดข้องอันเป็นข้อควรขยาด แม้ประโยชน์และความสุขในส่วนพระองค์ ก็อาจจะสละแลกความสุขสำราญพระราชทานไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ โดยทรงพระกรุณาปรานี พระองค์คือบุรพการีของราษฎร เพราะเหตุเหล่านี้แผ่นดินของพระองค์จึงยิ่งด้วยความสถาพรรุ่งเรืองงาม มหาชนชาวสยามถึงความสุขเกษมล่วงล้ำอดีตสมัยที่ได้ปรากฏมา พระองค์จึงเป็นปิยมหาราช ที่รักของมหาชนทั่วไป
ครั้นบรรลุอภิลักขิตสมัย รัชมังคลาภิเษก สัมพัจฉรกาล พระราชวงศานุวงศ์ เสนามาตย์ราชบริพาร พร้อมด้วยสมณพราหมณ์ อาณาประชาชนชาวสยามประเทศทุกชาติทุกชั้นบรรดาศักดิ์ ทั่วรัชสีมาอาณาเขต มาคำนึงถึงพระเดชพระคุณอันได้พรรณนามาแล้วนั้น จึงพร้อมกันสร้างพระบรมรูปนี้ ประดิษฐานไว้สนองพระเดชพระคุณเพื่อประกาศเพื่อเกียรติยศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปิยมหาราช ให้ปรากฏสืบไปชั่วกาลปวสาน
เมื่อสุรยคติกาล พฤศจิกายนมาศ เอกาทศดิถีพุฒวาร จันทรคติกาล กฤติกมาศ กาฬปักษ์ ตติยดิถี ในปีวอก สัมฤทธิมา 41 จุลศักราช 1270 (ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 พระชนมายุได้ 58 พรรษา ครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี นับเป็นรัชสมัยที่ยืนนานที่สุดในประเทศไทย


ขอบคุณข้อมูลโดย : พระราชสุทธิญาณมงคลสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภูเก็ตทัวร์ :: แหลมพรหมเทพ

บรรยากาศยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าที่แหลมพรหมเทพ

แหลมพรหมเทพ

เป็นจุดชมวิวที่สวยงามของภูเก็ต อยู่ห่างจากหาดราไวย์ ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นแหลมที่อยู่ตอนใต้สุดของเกาะภูเก็ต ชาวบ้านเรียกว่าแหลมเจ้า จากริมหน้าผามีแนวต้นตาลลาดลงสู่ปลายแหลมที่เป็นโขดหิน สามารถเดินไปจนถึงปลายแหลมได้ มองเห็นน้ำทะเลสีเขียวมรกต และสามารถเห็นเกาะแก้วอยู่ด้านหน้าแหลม ทางขวาจะเห็นแนวหาดทรายของหาดในหาน แหลมพรหมเทพนับเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง นอกจากนั้นยังมี “ประภาคารกาญจนาภิเษก แหลมพรหมเทพ” สร้างขึ้นในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี มีขนาดความกว้างที่ฐาน 9 เมตร สูง 50 ฟุต และแสงไฟจากโคมไฟจะมองเห็นไกลถึง 39 กิโลเมตร ภายในประภาคารมีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวการสร้างประภาคาร การรักษาเวลามาตรฐาน การคำนวณ และแสดงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตก จากบนยอดของประภาคารยังเป็นจุดชมวิว

ภูเก็ตทัวร์ :: “เปิดโลกมหัศจรรย์ แดนสวรรค์เมืองพังงา”

อ่าวพังงา


จังหวัดพังงา ร่วมกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดพังงา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพังงา องค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงา องค์การบริหารส่วนตำบลคึกคัก และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ กำหนดจัดงาน “เปิดโลกมหัศจรรย์ แดนสวรรค์เมืองพังงา” ( Phang nga 2008 – Green Forever ) ระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2551 ณ บริเวณเขาหลักเซ็นเตอร์ หน้าโรงเรียนบางเนียงฝั่งตะวันออก

นางพรประภา ล้อสุวรรณ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานกระบี่ กล่าวว่าการจัดงานเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวจังหวัดพังงาครั้งนี้ ใช้แนวคิดของการเผยแพร่ภาพลักษณ์ของจังหวัดพังงาด้านความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังคงความสด ความเขียวขจี และความมีเสน่ห์ของท้องทะเลอันดามันที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะเขาหลักอันเป็นที่รู้จักดีของนักท่องเที่ยว ผนวกกับกระแสของการท่องเที่ยวของโลกในปัจจุบันในอันที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นมรดกที่มีค่ายิ่ง นอกจากนี้แล้วยังจะเป็นการเปิดตัวจังหวัดพังงาในด้านความพร้อมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยว

สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึงนี้ สำหรับงาน "เปิดโลกมหัศจรรย์ แดนสวรรค์เมืองพังงา" จะมีพิธีเปิดในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 เริ่มด้วยขบวนพาเหรด ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป จากนั้นในเวลา 19.00-23.00 น. ของทุกวันจะมีเวทีการแสดงทางวัฒนธรรม การแสดงดนตรี และการประกวด Miss Green Forever ซึ่งเป็น highlight ของงานนี้ นอกจากนี้ ในบริเวณงานยังมีการออกร้านของหน่วยงานต่างๆ สินค้า OTOP การจำหน่ายอาหารทะเลสด อาหารท้องถิ่น และขนมพื้นเมืองที่มีชื่อของจังหวัดพังงาอีกด้วย

สอบถามรายละเอียดของงานเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา โทร.0-7644-3443 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกระบี่ โทร.0-7562-2163




ข้อมูล : ผู้จัดการออนไลน์

ภูเก็ตทัวร์ :: ท่องเที่ยว ในรูปแบบ ผจญภัย : การล่องแก่ง



ในครั้งนี้ เราจะมาพูดถึงการท่องเที่ยวในรูปแบบผจญภัยอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวที่ท้าทายความสามารถเป็นอย่างมาก ซึ่งการการท่องเที่ยวที่ว่านั้น ก็คือการล่องแก่ง ซึ่งหลายคนคงเคยได้ไปสัมผัสกับการท่องเที่ยวแบบนี้มาบ้างแล้ว สำหรับใครที่ยังไม่เคย ขอแนะนำว่า ให้ลองการล่องแก่งสักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่า การท่องเที่ยวในรูปแบบนี้ จะทำให้คุณสนุกไม่มีวันลืมการล่องแก่ง เป็นกิจกรรมที่ท้าทายความสามารถของนักท่องเที่ยวอย่างหนึ่ง ในกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ถ้าคุณเป็นคนชอบความท้าทาย ชอบสัมผัสธรรมชาติ ชอบเดินป่าละก็ ล่องแก่งเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาด แก่งต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทยมีอยู่มากมาย มีตั้งแต่ง่ายมาก จนกระทั่งยากสุดๆ การที่ได้ล่องแก่งที่ใดที่หนึ่งนั้น เป็นเหมือนเกียรติประวัติแก่ผู้ที่ได้ผ่านแก่งนั้นๆมาแล้วถ้าคุณคิดที่จะล่องแก่ง ควรจะเริ่มผจญภัยตั้งแต่ แก่งที่ง่าย ไปแก่งที่ยากเพื่อความชำนาญ เหมือนการเรียนเลื่อนชั้น ที่สำคัญควรเตรียมพร้อมทั้งกำลังกาย และกำลังใจ ยิ่งถ้าจะให้สนุกก็คงต้องไปกันเป็นกลุ่ม แต่ความปลอดภัยก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ดังนั้นก็ไม่ควรประมาท
ข้อปฏิบัติในการล่องแก่ง
ในการล่องแก่งแต่ละที่นั้น ก่อนที่จะทำการล่องแก่ง ควรที่จะศึกษา สำรวจเส้นทางของลำน้ำ และกระแสน้ำที่ไหลอย่างดีเสียก่อนว่า ทิศทางของน้ำไหลผ่านจุดใด และจุดใดเป็นช่วงยากหรือง่ายของแก่ง
ควรตรวจสอบ อุปกรณ์ในการล่องแก่งไม่ว่าจะเป็นแพยาง หรือ แพไม้ไผ่ ให้ละเอียดก่อนที่จะทำการล่องแก่ง
ก่อนการล่องแก่งควรฝึกซ้อมทักษะการพายเรือ การถ่อเรือ การจับไม้พาย และการนั่งการทรงตัวในเรือเสียก่อน
ควรเตรียมเครื่องป้องกันตัว โดยการสวมหมวกกันน๊อค เพื่อกันกระแทกบริเวณศรีษะ และเสื้อชูชีพเพื่อช่วยในการพยุงตัว หากเกิดหลุดจากแพ หรือเรือยาง
ควรสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขาสั้น ส่วนรองเท้านั้น ควรเป็นรองเท้าที่มีสายรัดข้อเท้า ไม่ควรสวมรองเท้าแตะ
ในขณะล่องแก่ง ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้บังคับหัวเรือและท้ายเรือที่ให้สัญญาณบอกสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
ควรมียาประจำตัวและยาสามัญประจำบ้านติดตัว
ทำสมาธิ และตั้งสติ ให้พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ในการล่องแก่ง
วิธีการช่วยเหลือตนเองเมื่อตกน้ำ
การพลัดตกลงไปในน้ำ เป็นสิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่มีความชำนาญ หรือเป็นผู้ที่มาล่องแก่งเป็นครั้งแรก ดั้งนั้นควรจดจำวิธีการช่วยเหลือเพื่อนำไปปฏิบัติตามดังนี้
พยายามว่ายน้ำเข้าหาเรือ หรือเข้าฝั่งให้เร็วที่สุด เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากกระแสน้ำและแก่งหิน
พยายามลอยตัวอยู่เหนือน้ำในท่านอนหงาย ยกขาสองข้างขึ้นในระดับผิวน้ำ เพื่อให้เสื้อชูชีพพยุงตัวให้ลอย
ในขณะที่กำลังถูกน้ำพัดไปเรื่อยๆ ให้เหยียดขาไปตามด้านที่กระแสน้ำไหล เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากการกระแทกของหิน และค่อยๆเตะขาในน้ำ เพื่อช่วยชะลอความเร็วของกระแสน้ำที่พัด
อย่างอเข่าหรือคว่ำหน้าเพราะจะทำให้ร่างกายไปกระแทกกับสิ่งที่อยู่ใต้น้ำได้
หากไม่มีโอกาสว่ายน้ำเข้าหาฝั่ง พยายามหาที่ยึดเกาะเพื่อรอเรือ หรือทีมช่วยเหลือมารับ
หากตกในกระแสน้ำเชี่ยว ไม่ควรเกาะเรือยางเพราะกระแสน้ำจะพัดพาเรือไปด้วยความเร็ว อาจทำให้คุณได้รับอันตรายจากโขดหินหรือกิ่งไม้
ระดับของแก่ง แบ่งออกได้ 6 ระดับ
ระดับ 1. ง่ายมาก น้ำไหลเอื่อย คนทั่วไปสามารถพายได้
ระดับ 2. ธรรมดา น้ำไหลแรง ต้องมีทักษะฝีมือในการพายพอสมควร
ระดับ 3.ปานกลาง มีแก่งตื่นเต้น ต้องเรียนรู้การพาย จึงต้องฝึกเทคนิคบ้าง
ระดับ 4. ยาก มีแก่งที่ต้องใช้เทคนิคฝีมือ ทักษะในการพาย และต้องระมัดระวังในการล่องแก่ง
ระดับ 5. ยากมาก มีน้ำไหลเชี่ยว ใช้เทคนิคและประสบการณ์ฝีมือในการพายสูง ต้องเพิ่มความระวังเป็นพิเศษ
ระดับ 6. อันตราย แก่งมีลักษณะเป็นน้ำตก ไม่เหมาะสำหรับการล่องแก่ง
สิ่งที่ควรนำติดตัว
ของใช้ส่วนตัว, ยารักษาโรค, กล้องถ่ายรูป, ฟิล์ม, ถุงมือ, ถุงเท้า, ไฟฉาย, เสื้อกันหนาว, ยาทากันยุง, ยาแก้เมารถ, รองเท้าผ้าใบและรองเท้าแตะ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการล่องแก่ง

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภูเก็ตทัวร์ :: อนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีย์ และท้าวศรีสุนทร


อนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีย์และท้าวศรีสุนทร ตั้งอยู่ที่สี่แยกท่าเรือ เขตอำเภอถลาง ก่อนถึงตัวเมืองภูเก็ต 12 กม.


ประวัติ

ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร เป็นนามเทิดพระเกียรติแห่งวีรกรรมที่ พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ ท่านผู้หญิงจัน เป็นท้าวเทพกระษัตรี และคุณมุก เป็น ท้าวศรีสุนทรท่านทั้งสอง เป็นบุตรีของเจ้าเมืองถลาง นามว่า พระถลางจอมร้าง (บ้านตะเคียน) และ แม่เซีย หรือหม่าเสี้ย ก็เรียก กล่าวกันว่า มารดาท่านมีเชื้อสายเจ้าเมืองไทรบุรี ท่านมีพี่น้องร่วมบิดา มารดา 4 คน โดยคุณจันเป็นบุตรีคนหัวปี คนรองคือ คุณมุก คนที่สามเป็นหญิง ชื่อหมา คนที่สี่เป็นชายชื่ออาด (ต่อมาได้เป็นพระยาถลาง ตำแหน่งเจ้าเมืองถลางอีกคนหนึ่ง) คนสุดท้ายเป็นชายชื่อเรือง (ได้เป็นพระพล ตำแหน่งปลดเมืองถลางต่อมาด้วย)คุณจัน นั้น คาดคะเนกันว่า ท่านน่าจะเกิด ระหว่างปี พ.ศ. 2278 - 2283 ในรัชสมัยแผ่นดิน พระเจ้าบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ส่วนคุณมุกก็คงจะเป็นน้องสาว วัยไล่เลี่ยกับท่าน เพราะระหว่างนำสู้ศึกถลาง ท่านน่าจะมีอายุระหว่าง 45 - 50 ปีในวัยเด็กท่านอยู่กับครอบครัว บิดา มารดาท่านตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ บ้านตะเคียน (ชาวถลางปัจจุบันเรียกว่า บ้านเคียน) เนื่องด้วยท่านทั้งสองเป็นเชื้อสายของเจ้าเมือง คงได้รับการอบรม และฝึกสอนให้มีจิตใจ เข้มแข็ง อดทน รู้หลักการปกครองผู้คนได้ ท่านทั้งสอง จึงเป็นคนที่แข็งแกร่ง เยี่ยงอย่างชาย ไม่อ่อนแอเหมือนหญิงทั่วไป ซึ่งความเข็มแข็ง อดทนนั้น เป็นลักษณะพิเศษ ที่อยู่ในบุคลิกท่าน ที่เราได้ทราบเรื่องของท่านในต่อมา เมื่อถึงวัยสาว ประมาณ พ.ศ. 2297 คุณจันได้แต่งงาน กับหม่อมศรีภักดี บุตรจอมนายกองเจ้าเมืองตะกั่วทุ่งมีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตเป็นผู้หญิงชื่อ ปราง คนเล็กเป็นชายชื่อ เทียน คุณจันแต่งงาน และย้ายไปอยู่ที่ตะกั่วทุ่ง ได้เพียง 5 ปี หม่อมภักดี ก็ถึงแก่กรรม จึงหอบลูกน้อยกลับไปอยู่ที่บ้าน พระยาถลางจอมร้างที่บ้านเคียนตามเดิม ส่วนคุณมุกนั้น ไม่มีบันทึกว่า ท่านได้เข้าพิธีแต่งงาน สันนิษฐานกันว่า ท่านครองโสดอยู่กับบิดา มารดาที่บ้านเคียน และเมื่อพี่สาวต้องหอบลูกๆ กลับมาอยู่บ้านเดิมอีกครั้ง คุณมุก คงจะรับภาระเลี้ยงดูหลานๆสันนิษฐานกันว่า บุคลิกและอุปนิสัยคุณจันคงจะเป็นหญิงที่มีบุคลิกสง่า คล่องแคล่ว มีความรอบรู้การบ้านการเมืองดี ไม่ชอบที่จะอยู่เฉยๆ เป็นลูกสาวเจ้าเมือง ที่อยู่ในระดับ ปกครองบ้านเมือง ได้รู้จักมักคุ้นกับบุคคลในวงการเดียวกันเรื่อยมา ในชีวิตส่วนตัวของท่านนั้น เป็นหม้ายอยู่ได้ 3 ปี ประมาณปี พ.ศ. 2305 ท่านได้สมรสใหม่กับ พระยาพิมล ( ขัน ) ซึ่งเจ้านครศรีธรรมราช ผู้มีอำนาจปกครองดูแล หัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งหมด ขณะนั้น เจ้านครศรีธรรมราช ได้ส่ง พระยาพิมล ( ขัน ) มาช่วยราชการอยู่ที่เมืองถลาง ชีวิตครอบครัวใหม่ ของท่านนั้น มีบุตรใหม่อีก 3 คน คนโตเป็นผู้หญิงชื่อ ทอง คนกลาง และคนสุดท้ายเป็นชาย ชื่อจุ้ยกับเนียมในปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ขณะที่กรุงศรีอยุธยากำลังคับขัน ใกล้เสียกรุงประมาณต้นปี 2310 นั้น พระยาถลางจอมร้างได้ถึงแก่กรรมลง พระยาถลางอาด ได้เป็นเจ้าเมืองแทน แต่ได้มีเรื่องหมางใจ กับพี่เขยพระยาพิมล ( ขัน ) และได้ร้องฟ้องไปถึง เจ้านครศรีธรรมราช ซึ่งได้รับตัดสินความ ให้พระยาพิมล ( ขัน ) ไปเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ซึ่ง คุณจันไม่ได้ ตามไปอยู่ที่ เมืองพัทลุงด้วย กลับพาลูกๆ และคุณมุกไปอยู่กับเครือญาติ หม่อมศรีภักดี ที่เมืองตะกั่วทุ่งเมื่อพระยาพิมล ( ขัน ) ถูกสั่งย้ายให้ไปปกครองเมืองพัทลุงนั้น ได้ทำนุบำรุงบ้านเมือง ให้อยู่เป็นสุขสบาย ไปตั้งชุมชนใหม่ เรียกว่า บ้านพระยาขัน ( อยู่ในเขต ต.ควนมะพร้าว อ.เมือง จ.พัทลุง จนถึงทุกวันนี้ ) นับว่าเป็นผู้มีความสามารถ ในการปฏิบัติราชการ ตามแบบอย่างเจ้าเมืองที่ดี ระหว่างที่กรุงศรีอยุธยา แตกพ่ายแพ้ต่อสงครามเมื่อปี 2310 ต่อมาพระสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกรีฑาทัพ เพื่อปราบหัวเมือง ที่ตั้งตัวเป็นก๊กต่างๆ นั้น เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ซึ่งปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ ก็ตั้งตัวเป็นอิสระบ้างในปี พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงนำกองทัพเข้าปราบ เมืองนครศรีธรรมราช ได้แต่เจ้านครศรีธรรมราช หนีไปทาง เมืองพัทลุง พระยาพิมล ( ขัน ) ได้พาหนีต่อทว่าถูกจับตัวได้ ในคราวนั้นพระยาพิมลขัน ได้รับการอภัยโทษ ไม่ถูกจองจำเหมือน เจ้าพระยานครศรีธรรมราช แต่ต้องพ้นจากตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุง ซึ่งท่านก็มิได้ย่อท้อ ท่านเปลี่ยนเข็มชีวิตใหม่ เป็นพ่อค้า ติดต่อค้าขายถึงเกาะปีนัง ซึ่งระยะนี้พระยาพิมล ( ขัน ) ได้มีโอกาส กลับมาพักแรมกับครอบครัว ที่ตะกั่วทุ่ง และมีบุตรเพิ่มขึ้นอีก 2 คน เป็นหญิงชื่อ กิม และเมือง โดยในขณะที่พระยาพิมล (ขัน) ทำการค้าขายนั้น ท่านได้คุ้นเคย กับชาวอังกฤษ สนิมสนมเป็นเพื่อนรักกันคือ กัปตันฟรานซิสไลท์ นายทหารเรือนอกประจำการ ของอังกฤษ รับตำแหน่ง เป็นนายพานิช สังกัดบริษัทอีสอินเดีย มีสำนักงานใหญ่ อยู่ที่เมืองเบงกอล ทางตอนใต้ของอินเดีย โดยประวัติของกัปตันฟรานซิสไลท์มีดังนี้ กัปตันไลท์ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2288 ที่เมืองซัฟฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เป็นนายทหารเรือ ยศเรือโท ประจำอยู่ในเรือแอโรเก้น ( H.M.S.Arrogant ) ครั้น พ.ศ. 2308 ได้ลาออกจากราชการเป็นนายพานิชสังกัด บริษัท อีสอินเดีย ของอังกฤษ โดยเป็นกัปตันเรือ ค้าขายระหว่างอินเดีย กับชายฝั่งตลอดแหลม มลายู เช่น เมืองตะนาวศรี มะริด เมืองถลาง เมืองไทรบุรี ปีนัง และ มะละกา เป็นต้น ระหว่างที่จอดเรือตามเมืองท่าต่างๆ นั้น ก็จะนำสินค้าจากอังกฤษและยุโรป ส่งขาย และรับสินค้าพื้นเมืองกลับไปขาย เมื่อเรือเข้าเทียบท่า ที่เมืองถลางสินค้าที่ส่งขาย ได้แก่ เสื้อผ้าแพรพรรณ อาวุธยุทธปัจจัย ยาฝิ่น แล้วรับซื้อดีบุก ยางสน ไข่มุก งาช้าง หนังสัตว์ และ อำพันทอง ( สมุนไพร ) กัปตันไลท์ ดำเนินกิจการค้า ด้วยนโยบายแฝงด้วยการเมืองอยู่ด้วย เมื่อเข้าติดต่อค้าขายกับเมืองไทย ก็สร้างมิตรไมตรีกับเจ้าเมืองเสมอในปี พ.ศ. 2319 เจ้านครศรีธรรมราช ผู้ถูกอาญาจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นำตัวมาคุมไว้ ที่กรุงธนบุรีนั้นได้ แสดงความจงรักภักดี ช่วยราชการต่างๆ จนสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ไว้วางพระราชหฤทัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับไป ปกครองเมืองนครศรีธรรมราช หัวเมืองประเทศราชฝ่ายใต้อีก เมื่อได้รับอำนาจกลับคืนมา เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ระลึกถึง คุณงามความดีที่พระยาพิมล ( ขัน ) เป็นผู้ภักดีในยามยาก จึงตั้งให้เป็นเจ้าเมืองถลางขึ้นใหม่ แทน พระยาถลางอาด ที่ปกครองบ้านเมือง ไม่อยู่ในทศพิธราชธรรม จนถูกชาวเมืองเป็นกบฏ สู้รบกันจนถูกยิงตาย แล้วพระยาพิมล ( ขัน ) ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็น พระยาสุรินทราชา เจ้าเมืองถลาง ในปี พ.ศ. 2319 และคุณจันก็ได้เป็นท่านผู้หญิงภริยาเจ้าเมือง ชีวิตครอบครัวกลับคืน สู่ความผาสุกอีกครั้งหนึ่งความสนิมสนม ของเจ้านครศรีธรรมราช พระยาพิมล ( ขัน ) และกัปตันไลท์ ได้เกิดขึ้นกลมเกลียวกัน ในปีนั้นเอง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มีพระบรมราชโองการโปรดฯ ให้เจ้าพระนครศรีธรรมราช จัดส่งอาวุธปืน เพื่อใช้ป้องกันพระนคร กัปตันไลท์ ได้จัดหาอาวุธปืน และยุทธปัจจัยขึ้นทูนเกล้าฯ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตามพระราชประสงค์ จึงได้รับพระราชทาน บรรดาศักดิ์ให้เป็น พระยาราชกปิตัน พร้อมกับพระราชทานดีบุกจำนวน 100 ภารา ( มาตราชั่งน้ำหนัก ) ตอบแทนด้วยพระยาราชกปิตัน หรือกัปตันไลท์ ยังมีชื่อเรียก ในหมู่คนไทย และในจดหมายเหตุหลายชื่อ เช่น พระยาราชกปิตันเหล็ก หรือกปิตันเหล็ก กปิตันลาด ท่านราชโต๊ะ โตกพระยา ละโตก เป็นต้น ความสนิทสนมระหว่าง กัปตันไลท์ กับบรรดาเจ้าเมืองฝ่ายไทยหลายท่าน ทำให้ท่าน รู้จักภาษาไทยแตกฉาน มีบันทึกเล่าว่าท่านได้สมรส กับหญิงชาวถลางเชื้อสายโปรตุเกส ชื่อ มาตินา โรเซลล์นอกเหนือจากมีความสนิทสนมกับเจ้าเมือง ในหัวเมืองฝ่ายใต้ และพระมหากษัตริย์ไทยแล้ว ยังมีบันทึกว่า ในปี พ.ศ. 2329 กัปตันไลท์ ได้เจรจากับเจ้าเมืองไทยบุรีขอเช่า เกาะหมากหรือเกาะปีนัง เป็นสถานีการค้า และสถาปนาตนเอง เป็นเจ้าเมืองด้วย แล้วเปลี่ยนชื่อเกาะปีนังใหม่ว่า ปริ้นออฟเวลส์ต่อมาเมื่อมีการติดต่อค้าขายกับกัปตันไลท์ หรือพระยาราชกปิตัน ซึ่งนำเรือเข้าเทียบท่าเรือเมืองถลาง ( คือบ้านท่าเรือในปัจจุบัน ) เสมอ อีกทั้งพระยาพิมล ( ขัน ) เอง ยังคงมีเรือออกเที่ยวติดต่อค้าขาย จึงได้ออกมาสร้างบ้านอีกหลังไว้ที่ท่าเรือ เพราะมีจดหมายเหตุ ของกัปตันฟอร์เรสต์ชาวอังกฤษกล่าวถึง บ้านเจ้าเมืองถลางว่า มีอยู่ 2 แห่ง คือที่บ้านท่าเรือ และ บ้านเคียน จึงสันนิษฐานกันว่า ที่บ้านเคียนนั้น เป็นบ้านที่พระยาถลางพิมล ( ขัน ) อาศัยอยู่กับครอบครัวอย่างถาวร ส่วน บ้านท่าเรือ ใช้เป็นที่พักสำหรับ ออกมาตรวจราชการ เกี่ยวกับเรือสินค้า คอยดูเรื่องการ เก็บภาษีอากรอย่างใกล้ชิด และถูกต้อง เรียบร้อยตามกระบวน ความยุติธรรม อีกทั้งเป็นที่รับแขกบ้านแขกเมือง พ่อค้าวานิชทั้งหลาย ที่นำเรือสินค้า เข้ามาติดต่อค้าขาย ในบันทึกนั้นเล่าไว้ว่า จากบ้านท่าเรือนั้น พระยาถลางขึ้นช้างเดินไป ประมาณ 7 ไมล์ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ก็จะถึงบ้านพระยาถลาง อีกแห่งหนึ่ง เป็นเรือนไม้มุงจาก มีสวนผลไม้หลายอย่าง ในบริเวณบ้าน ซึ่งเป็นระยะทางจากบ้านท่าเรือ (เขตตำบลศรีสุนทร) ถึงบ้านเกาะเคียน หรือบ้านเคียน (เขตตำบลเทพกระษัตรี) อำเภอถลางในปัจจุบัน หลักฐานที่แจ้งชัดว่า พระยาพิมล ( ขัน ) หรือพระยาสุรินทราชา ได้มีบ้านพักถาวร อยู่ที่บ้านเคียน และบ้านรับรองอยู่ที่ท่าเรือนั้น ดูได้จากจดหมาย ที่ท่านผู้หญิง เขียนถึงพระยาราชกปิตันหรือ กัปตันไลท์ ประมาณต้นปี พ.ศ. 2328 ในขณะที่กัปตันไลท์ นำเรือมาเทียบท่า ขนส่งและรับซื้อสินค้าเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าระยะสั้น การค้าขายของกัปตันไลท์ ก็คงจะฝืดเคืองเช่นกัน เมื่อ มาถึงเมืองถลางก็ให้คน ถือจดหมายไปทวงหนื้สินที่ยังค้างกันอยู่ปัญหาหนี้สินที่พระยาพิมล ( ขัน ) ติดค้างอยู่กับกัปตันไลท์นั้น คงจะเป็นหนี้สินอันเกี่ยวกับ การจัดซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์ ที่ได้ขอให้กัปตันไลท์ จัดซื้อไว้ป้องกันเมือง เพราะดูจากสมัยที่ท่าน ได้รับตำแหน่ง เป็นพระยาถลางใหม่ๆ ระหว่างปี พ.ศ. 2319 - 2320 นั้น ก็เคยขอให้กัปตันไลท์ ช่วยจัดซื้ออาวุธปืนให้ โดยทำสัญญาแลกเปลี่ยนดีบุก ในสมัยที่นำส่งไปช่วยเจ้าพระยานครฯ และต่อมาในปี พ.ศ. 2325 คราวที่ในกรุงผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขึ้นครองราชย์นั้น กัปตันไลท์ส่งข่าวมาบอกว่า ทางพม่า เตรียมการศึกไว้ หวังที่จะยึดเอาเมืองสยามให้ได้ ในฐานะที่พระยาพิมล ( ขัน ) เป็นเจ้าเมืองถลาง ก็จะต้องเตรียมสะสมอาวุธ โดยสั่งซื้อจากกัปตันไลท์ไว้ด้วย จึงมีอาวุธ เหลือไว้ให้ ท่านผู้หญิงจัน ได้ใช้ป้องกันเมือง ระหว่างที่ถูกข้าศึกเข้าล้อมอยู่ ในจดหมายทวงหนี้ ของกัปตันไลท์ ได้บอกข่าวศึกว่าพม่า เตรียมยกทัพมาแน่ๆ ขอให้พระยาถลาง จัดเตรียมสู้ไว้ และศึกครั้งนี้ กัปตันไลท์คงจะต้องออกเรือหนีภัยศึก อันใหญ่หลวงออกไป จากถลางชั่วคราว ไม่ทราบว่านานเท่าใด จึงได้ทวงหนี้สินที่คั่งค้างกันอยู่ และจากข้อความในจดหมาย ของท่านผู้หญิงจัน ที่มีถึงกัปตันไลท์ ขอผัดผ่อนหนี้สิน ก็เพราะขณะนั้นพระยาสุรินทราชา เจ้าเมืองถลาง กำลังป่วยหนักอยู่ ซึ่งก็ไม่ทราบสาเหตุเช่นกันว่า เจ็บป่วยด้วยโรคอะไร ข้อความในจดหมาย ของท่านผู้หญิงจัน ซึ่ง คุณ ประสิทธิ์ ชิณการณ์ และ อาจารย์สมหมาย ปิ่นพุทธสิทธิ์ ได้ช่วยกันถอดข้อความ เป็นภาษาไทยปัจจุบัน และนำลงพิมพ์ไว้ใน เอกสาร "จดหมายเหตุเมืองถลาง 13 มีนาคม 2525" นั้นมีข้อความ ตอนสำคัญว่า" ... ด้วยมีหนังสือไปนั้น ได้แจ้งแล้ว ครั้นจะเอาหนังสือไปเรียนแก่พญาถลาง ๆ ป่วยหนักอยู่แล ซึ่งว่า มาค้าขาย ณ เมืองถลางขาดทุนหนักหนาช้านานแล้วนั้น เห็นธุระของตะโกลาอยู่ แต่หากว่าลาโตกเมตตา เห็นดูข้าเจ้าจึงเปลืองทุนเป็นอันมากทน ระมานอยู่ด้วยความเห็นดู แลซึ่งว่าแต่งกำปั่นแล้วจะลากลับไป แลมีราวข่าวว่า พม่าจะมาตีเมืองถลาง ท่านพญาถลางเจ็บหนักอยู่ ถ้าพม่ายกมา จึงข้าเจ้าจะได้พึ่งตาโลก เป็นหลักที่ยุคต่อไป แลซึ่งว่าจะเอาดีบุกค่าผ้านั้น ท่านพญาถลางยังเจ็บหนัก มิได้ ปรึกษาว่ากล่าวก่อน ถ้าท่านพญาถลางคลายป่วยแล้วจะได้ปรึกษาว่ากล่าวจักเตือนให้ ..."จดหมายฉบับนี้ท่านผู้หญิงได้เขียนเมื่อเดือนอ้าย ปีมะเส็ง จุลศักราช 1147 หรือ พ.ศ. 2328 ก่อนที่สงครามจะถึงถลางประมาณ 2 เดือนเท่านั้นสงครามใหญ่ที่รุกรานไปถึงถลางนั้นก็คือ สงครามเก้าทัพ ที่พระเจ้าประดุง กษัตริย์พม่า กรีฑาบุกไทย พร้อมกันทุกด้าน นับแต่หัวเมืองเหนือจรดใต้ โดยหมายยึดเมืองไทยให้ได้ เมื่อต้นเดือน กุมภาพันธ์ 2328 นั้น ทางหัวเมืองฝ่ายใต้ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง ( เขตอำเภอท้ายเมืองปัจจุบัน ) เรื่อยลงมาถึงเมืองถลาง แม่ทัพพม่า ที่นำบุกหัวเมืองฝ่ายใต้นั้นคือ พระเจ้าอังวะ คุมกองทัพบก กองทัพเรือ ตีตะลุยเรื่อยมา ยี่หวุ่นแม่ทัพเรือพม่า ได้นำทหารเข้าล้อมเมืองถลางไว้ เมื่อพิจารณาจากลำดับเหตุการณ์ ทางประวัติศาสตร์ ในขณะที่เมืองถลางถูกทัพพม่าล้อมไว้นั้น พระยาถลาง ได้ถึงแก่อนิจกรรมลง ในราวเดือน ธันวาคม 2328 หลังจากที่ท่านผู้หญิงจัน จดหมายถึงกัปตันไลท์ ไม่กี่วันนั่นเอง นับระยะเวลาที่พระยาพิมล ( ขัน ) เป็นเจ้าเมืองถลางอยูได้ 10 ปีความสำคัญของ บ้านเคียน อันเป็นที่อยู่ถาวร ของครอบครัวท่านผู้หญิงจันนั้น ในคราศึกถลาง ก็ได้ใช้เป็นที่ตั้งค่ายยึดชัยภูมิ อย่างขันแข็ง สู้กับกองทัพพม่าเรียกว่า ค่ายบ้านเคียน อยู่ติดกับค่ายใหญ่ อีกค่ายหนึ่ง ที่หลังวัดพระนางสร้างตั้งประจันหน้า สู้กับพม่าที่ตั้งค่าย รายล้อมอยู่กลางทุ่ง ซึ่งปัจจุบัน เรียกว่า บ้านโคกพม่า ที่ทราบเช่น ก็เนื่องจากได้พบข้อความในจดหมาย ที่ท่านผู้หญิงจัน เขียนถึงกัปตันไลท์ ประมาณเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2329 เล่าถึงสภาพบ้านเมืองในยามศึกไว้ตอนหนึ่งว่า"... แลอนึ่ง เมื่อพม่ายกมานั้น พญาธรรมไตรโลกให้เกาะเอาตัวตูข้าไปไว้ ณ ปากพระ ครั้นพม่ายกมาตีปากพระได้ กลับแล่นหนีมา ณ บ้าน แลคนซึ่งให้รักษาบ้านเรือนอยู่นั้น แล่นทุ่มบ้านเรือนเสียข้าวของทั้งปวงเป็นอันณราย มีคนเก็บรับเอาไปสิ้น แลอยู่ทุกวันนี้ ยากจนขัดสนเป็นยิ่งนัก..."ข้อความเกี่ยวกับตัวท่านเล่าว่า ก่อนศึกนั้น ได้ถูกพระยาธรรมไตรโลก นำตัวท่านและครอบครัว ไปอยู่ที่ค่ายปากพระ นั้น คงเป็นเรื่องการระดมไพร่พล จากเมืองถลางให้ไปช่วยป้องกัน ค่ายปากพระ ในขณะนั้น เจ้าเมืองถลางถึงอนิจกรรมแล้ว อีกทั้ง ปลัดและกรมการเมือง ที่ช่วยราชการ ในเมืองถลางนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็น ลูกหลานท่าน ท่านผู้หญิงจัน ในฐานะภริยาเจ้าเมือง และอาวุโสที่สุด จึงต้องรับภาระ เป็นหัวหน้าไพร่พล ยกไปช่วยป้องกันค่ายหลวงที่ปากพระก่อนครั้นเมื่อพม่า ตีค่ายปากพระ แขวงเมืองตะกั่วทุ่งแตก ด้วยความเป็นห่วงบ้าน และชาวเมืองถลาง ท่านจึงนำไพร่พล กลับมาป้องกันเมืองถลาง ซึ่งระหว่างนั้น ทางกรุงเทพฯ ก็ยังไม่ได้ตั้งใคร เป็นเจ้าเมืองถลางคนใหม่ ในความรับผิดชอบ ต่อบ้านเมืองและทำหน้าที่ แทนสามีที่เป็นเจ้าเมืองถลาง ประกอบกับเคยได้รับการฝึกสอน ให้อดทนเข้มแข็งจากบิดา ผู้เป็นจอมร้างบ้านเคียน ท่านจึง ได้ชวนคุณมุก ผู้เป็นน้องสาวที่สนิท และติดตามไปช่วยดูแลหลานๆ นำไพร่พล และชาวถลาง ตั่งมั่นสร้างค่ายรายล้อมต่อสู้กับข้าศึกโดยใช้กลลวงทางยุทธวิธีอันแยบยล จนพม่าต้องเลิกทีพกลับไปเมื่อ วันที่ 24 มีนาคม 2328 อันเป็นวันชนะศึกถลางสำหรับข้อความที่ว่า เมื่อท่านผู้หญิงจันนำไพร่พลหนีวงล้อมพม่า ครั้นถึงบ้านเคียน ที่ท่านอาศัยอยู่นั้นถูกทิ้งร้าง ไม่มีใครช่วยดูแลให้ข้าวของ ก็ถูกขโมยไปจนหมดสิ้นนั้น นับเป็นสภาพบ้านเมือง ที่เรียกว่าบ้านแตกสาแหรกขาด สภาพการณ์เช่นนี้ สายเลือดที่เป็นนักปกครอง นักสู้ท่านจึงมีมานะรวบรวมไพร่พลเข้าสู้กับข้าศึกหลังจากเสร็จสิ้นการศึกถลาง ได้ประมาณ 7 เดือน ท่านผู้หญิงจันได้มีจดหมายถึง กัปตันไลท์ เล่าถึงสภาพบ้านเมือง ในยามศึก ให้ทราบแล้ว ได้เล่าถึงชีวิตครอบครัว ของท่านระยะนั้น ยากจนลงท่านต้องอพยพ ไปทำเมืองดีบุกที่บ้านตะปำ ( สะปำอยู่เหนือบ้านท่าเรือ ) เพื่อกอบกู้สภาพการ เศรษฐกิจของเมืองถลางให้ดีขึ้น โดยเอาดีบุก ส่งขาย แลกกับ ข้าวปลาอาหาร เลี้ยงผู้คน พลเมือง ดังข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า"... แลที่อยู่ทุกวันนี้ ณ เมืองถลาง พม่าตีเอาบ้านเมืองเป็นจุลาจน อดข้าวปลาอาหารเป็นหนักหนา ตูข้ายกมาตั้งทำดีบุกอยู่ ณ ตะปำ ได้ดีบุกบ้างเล็กน้อย เอาซื้อข้าวแพง ได้เท่าใดซื้อสิ้นเท่านั้น ...""... อนึ่ง ตูข้าได้จัดดีบุกสิบภารา เป็นส่วนเจ้าหลิบแปดภารา ส่วนตูข้าสองภารา จัดมาให้แก่ท่านแลเจ้าหลิบนั้น ได้แต่ง ให้จีนเฉียวพี่ชายแลตูข้าได้แต่งนายแช่มจีน เสมียนอิ่ว คุมเอาดีบุกไปเถิงท่าน ให้ช่วยจัดข้าวของให้ อนึ่งถ้าข้าว ณ เกาะปูเหล้าปีนัง ขัดสน ขอให้ท่านช่วยแต่งผู้หนึ่ง ผู้ใด ไปช่วยจัดซื้อข้าว ณ เมืองไซ ถ้าได้ข้าวของแล้ว ขอท่านได้ช่วย แต่งสลุบกำปั่น เอามาส่งให้ทัน ณ เดือนสิบเอ็ด เห็นว่าจะได้รอดชื่อ เห็นหน้าท่านสืบไป เพราะในบุญของท่าน และธุระซึ่งว่ามานี้ แจ้งอยู่แก่ใจกปิตันลินสิ้นทุกประการ”ในระยะนั้นการทำเหมืองดีบุกคงจะช่วยกอบกู้การเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ข้อความในจดหมาย คำว่าภารานั้น เป็นมาตราชั่งน้ำหนักในสมัยโบราณ อัตราส่วน นน. 1 ภารา มีค่าเท่ากับค่าของทองคำหนัก 400 ชั่ง ( 1 ภารา = 20 ตุล, 1 ตุล = ทองคำ 20 ชั่ง )หลังจากที่ท่านผู้หญิงจัน และ คุณมุกนำไพร่พล และชาวเมืองถลางสู้ศึกถลาง จนปกป้องบ้านเมือง ให้พ้นภัยแล้วนั้น บันทึกในพงศาวดารเมืองถลางกล่าวว่า ท่านได้รับ พระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระราชทาน บรรดาศักดิ์เป็น ท้าวเทพกระษัตรี และท้าวศรีสุนทรนั้น ในบันทึก ไม่ได้ลงข้อความละเอียดว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อใด และขุนนางใดเป็นผู้นำหนังสือ และตราตั้งนั้นมามอบให้ท่านผู้หญิง ก็เนื่องจากนักประวัติศาสตร์ ยังหาร่องรอย หลักฐานตราประทับ หรือหนังสือแต่งตั้งไม่พบ จึงเพียงทราบกันว่า ท่านได้รับพระราชทาน บรรดาศักดิ์เท่านั้นอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าท่านผู้หญิงจันจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ทว่าท่านก็คงยังใช้ชีวิต เป็นผู้นำครอบครัว ลูกๆ หลาน ๆ เหมือนภริยา เจ้าเมืองถลางในอดีต และในระหว่างที่ทางกรุงเทพ ยังไม่ได้จัดแต่งตั้งให้ผู้ใด เป็นเจ้าเมืองถลางสืบต่อจาก พระยาพิมล ( ขัน ) นั้น ในประมวลความ ในประวัติศาสตร์ ซึ่งรวบรวมจากบันทึกเหตุการณ์ และจดหมายถึงกัปตันไลท์ท่านผู้หญิง ได้รับการขอร้อง จากคุณเทียน ลูกชายคนโตที่เกิดกับ หม่อมศรีภักดีบรรดาศักดิ์ ขณะนั้นเป็นพระยาทุกราช ช่วยราชการเมือง ให้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลมหาราช และ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เพื่อแสดง ความจงรักภักดี และขอผัดผ่อนการชำระภาษีอากร ที่เจ้าเมืองถลางพระพิมล ( ขัน ) ได้รับหนังสือเร่งรัด ให้ส่งภาษีและอากร ให้ท้องพระคลังให้ครบ นอกจากนั้น นัยสำคัญอีกประการหนึ่ง ก็เพื่อที่จะกราบทูล ให้ทรงพระราชวินิจฉัยให้ พระยาทุกราชหรือ คุณเทียน ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นเจ้าเมืองถลางด้วย ซึ่งกำหนดการท่านผู้หญิง ได้เขียนจดหมายถึงกัปตันไลท์ ขอให้ซื้อสิ่งของต่างๆ เพื่อ นำไปทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ สมเด็จกรม พระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในครั้งนั้น โดยนัดให้กัปตันไลท์นำของต่างๆ ไปส่งที่เกาะตะลิบง ( เขตจังหวัดตรังในปัจจุบัน ) ซึ่งอยู่กลางทางในราวเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2330 ดังข้อความใจจดหมายกล่าวไว้ว่า"... ข้าพเจ้าจะเข้าไปกรุงแน่ แต่จะเข้า ณ ทางตรัง ถ้าข้าพเจ้ามาเถิงเกาะตะลิโบงแล้ว จะให้พญาทุกราชกับพ่อจุ้ยมา กราบเท้าพญานายท่าน จะขอพึ่งชื่อของท่าน สักสามสิบสี่ภารา จะได้เอาไปแก้ไข ณ กรุงให้พ้นกรมการ ณ เมืองถลาง เบียดเสียดว่ากล่าว แล้วถ้าสมความคิดข้าพเจ้าไปครั้งนี้ การดีบุก ณ เมือง ก็อยู่ในพญานายท่านได้ใช้ไม่ให้ขัดสน ...""... แลให้โตกพญานายท่าน ช่วยจัดปืนสูตัน 50 บอก ผ้าขาวก้านแย่งลายเครือ ผ้าขาวอุเหม้าเนื้อดี ผ้าขาวกาษาหน้าทองและหน้าจั่ว ผ้าลายดอกต่างกันผ้าเข้มขาบ โหมดตาด ผ้าดำเนื้อดี แพรดาไหรยสีต่างกัน น้ำมันจัน น้ำกุหลาบ...ให้พญานายท่าน ได้เห็นดูอนุเคราะห์ จัดคนซึ่งท่านไว้ใจให้คุมมาพบกับข้าพเจ้า ณ เกาะตะลิโบง ณ เดือนเก้าข้างขึ้น 9 - 10 ค่ำ ...""... ข้าพเจ้าไปเถิง จะพ้นไปทีเดียว จะได้กลับมาทันทีทันมรสุม แลการบ้านเมืองถลาง ซึ่งลูกค้าไปค้าขายเกินอยู่ทั้งนั้น แล้วราชพลเมืองขัดสนมิได้ทำดีบุกแต่ต้นมรสุมประการใด ..."อนึ่ง การเดินทางเข้ากรุงของท่านผู้หญิงจันในปี 2330 นั้น แม้ว่าท่านจะต้องเลื่อน การเดินทางออกไปอีก 2 - 3 เดือน เพราะได้สวนทาง กับคณะข้าหลวง ที่เดินทางมาเร่งรัดหนี้สิน ที่เจ้าเมืองถลางยังค้างอยู่ การเดินทางเข้าเฝ้าครั้งนั้น ท่านคงได้รับผลสำเร็จ ตามความมุ่งหมาย ทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องพระยาทุกราช ( คุณเทียน ) ซึงรับราชการ ตำแหน่งปลัดเมืองถลาง นั้น ได้รับแต่งตั้งให้เป็น เจ้าเมืองถลาง บรรดาศักดิ์พระยาเพชรคีรีศรีพิชัยรามคำแหง ส่วนคุณจุ้ย บุตรชายที่เกิดจากพระยาพิมล ( ขัน ) ได้รับตำแหน่งเป็น หลวงเพชรภักดีศรีพิชัยสงครามยกบัตร ช่วยราชการเมืองถลางนอกจากนั้น แสดงความจงรักภักดีต่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ท่านได้พา คุณทอง บุตรสาวอีกคนหนึ่ง ที่เป็นพี่สาวคุณจุ้ย ถวายตัวเป็นบาทบริจาริกา และเป็นเจ้าจอมมารดา ของพระองค์เจ้าหญิงอุบล ในรัชกาลที่ 1 ส่วนคุณเนียม บุตรชายอีกคนหนึ่งนั้น ได้พาเข้าถวายตัว เป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ 1 สำหรับลูก ๆ ที่ไม่ได้กล่าวชื่อถึงนั้น คงจะมีครอบครัว และทำมาค้าขาย อยู่ในเมืองถลาง เป็นชาวถลางธรรมดา ไม่ได้รับราชการ ในตำแหน่งสำคัญ จึงไม่มีชื่อปรากฏ อยู่ในบันทึก พงศาวดารหรือจดหมายเหตุใดๆเมื่อจัดภาระผู้นำครอบครัวเจ้าเมืองถลางให้ลูกๆ ได้รับราชการในตำแหน่ง ที่ท่านตั้งใจสมปรารถนาแล้ว ท่านผู้หญิงจัน และคุณมุกคงเข้าพำนักอยู่ที่บ้านท่าเรือ เพื่อดูแลเรื่องการจัดเรือค้าขาย และติดต่อ ส่งดีบุกออกขาย ให้กับเรือ ที่เข้าเทียบท่าเมืองถลางเรื่อยมา ซึ่งจากบันทึกจดหมายเหตุ ของ กัปตันโธมาส ฟอร์เรส ที่คนไทยรู้จักนามท่าน "แจน ซีลัน" บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. 2335 ว่า เขาได้แวะ ที่ท่าเรือเมืองถลาง ซึ่งเป็นบ้านของพญาถลางพิมล เห็นมีบ้านเรือนอยู่ประมาณ แปดสิบหลังคาเรือนหลังจากที่พระยาเพชรคีรีศรีพิชัยรามคำแหง หรือพระยาถลางเทียน ได้ตำแหน่งเป็น เจ้าเมืองถลาง มีอำนาจปกครอง หัวเมืองฝั่งตะวันตกถึง 8 เมืองนั้น บันทึกประวัติศาสตร์พงศาวดารเมืองถลาง มักกล่าวถึงเฉพาะผู้มีตำแหน่งหรือเจ้าเมือง มิได้กล่าวถึง ท่านผู้หญิงจันอีกเลย มีแต่ในจดหมาย ของพระยาถลางเทียน เขียนถึงกัปตันไลท์ ( ขณะนั้นเป็นเจ้าเมืองปีนัง ) จดหมายลงวันที่ 23 เมษายน 2335 ข้อความในจดหมายกล่าวถึง ท่านผู้หญิงไว้ตอนหนึ่งว่า"เจ้าคุณมารดาแก่ลงกว่าแต่ก่อนแล้วก็ขัดสนไม่สบาย เหมือนแต่ก่อน"ซึ่งหากนับอายุท่านคงประมาณ 60 ปี นับเป็นวัยที่ชรามาก ( คนสมัยก่อนอายุร่วงโรยเร็ว เพราะ ทำงานหนัก ทำงานสิ่งใด ไม่มีเครื่องทุนแรงเหมือนปัจจุบัน เพียงวัย 60 ก็นับว่า อยู่ในเกณฑ์ ที่ชราภาพ)ในบั้นปลายชีวิต ของท่านผู้หญิงจัน ที่ต้องล้มเจ็บป่วยลงด้วยความชราภาพนั้น ในปี พ.ศ. 2336 ท่านต้อง ได้รับความทุกข์ระทม อย่างใหญ่หลวงอีกครั้งหนึ่งในชีวิต เมื่อทราบข่าวว่า พระยาถลางเทียน และยกบัตร ( คุณจุ้ย ) ซึ่งคุมทัพเรือออกไปช่วย กองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท คราวศึกเมืองมะริด เสียชีวิตในการรบครั้งนั้นทั้งสองคน ยังความโศกเศร้าสู่ ครอบครัวท่านอีกครั้งหนึ่ง และจากนั้นไม่นานนัก ท่านก็ถึงแก่อนิจกรรมประมาณปี พ.ศ.2336 ส่วนท้าวศรีสุนทรหรือคุณมุก คงใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว และหลานๆ และคงถึงแก่อนิจกรรม ในเวลาต่อมา ในสมัยปลายรัชกาลที่ 1 แต่คงเป็นปีก่อนศึกถลางครั้งที่ 2 ในรัชกาลที่ 2 แน่แท้หากประมวลความเรื่องราวกับชีวิตความเป็นอยู่ของท่านท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร นั้นนัยว่า ท่านเป็นผู้หญิง ที่ต้องบากบั่นตรากตรำทำงาน เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข ของบ้านเมือง ตลอดมานับแต่ การรับภาระชำระหนี้สินภาษีอากร ส่งเข้าท้องพระคลังหลวง แทนพระยาถลางซึ่งส่งให้ไม่ครบ อันเป็นความรับผิดชอบในหน้าที่ต่อบ้านเมือง ท่านมีความเฉลียวฉลาด เข้มแข็ง เด็ดขาดสมกับ ที่เป็นเชื้อสายนักปกครองเมื่อมีภัยศึก ท่านได้นำไพร่พล เข้าต่อสู้ด้วยกุศโลบายอันแยบยล จนได้รับชัยชนะข้าศึก ปกป้องเมืองถลางไว้ได้ ในยามที่บ้านเมืองขัดสน จากภัยของสงคราม ท่านก็ไม่ยอมย่อท้อ ต่อชีวิต นำชาวบ้านทำเหมืองดีบุกส่งขาย เพื่อกอบกู้การเศรษฐกิจ ให้ไพร่พล ชาวถลาง มีความอยู่ดีกินดีขึ้น ซึ่งวีรกรรมและผลงานของท่าน นับเป็นแบบอย่างของหญิงไทย ที่ได้รับยกย่องเป็นวีรสตรีเมืองถลาง

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภูเก็ตทัวร์ :: ชมวิวเขานาคเกิด






เขานาคเกิด
เขานาคเกิดกรมป่าไม้เค้าจัดให้เป็นหนึ่งในป่าสงวนแห่งชาติของภูเก็ต จากที่มีทั้งหมด 16 ป่า แยกเป็นป่าบก 9 แห่ง และป่าชายเลน 7 แห่ง ลักษณะทั่วไปป่าสงวนแห่งชาติเขานากเกิด ตามคำจำกัดความ ของกรมป่าไม้ คือ ป่าเขตร้อนชื้น ค่อนข้างรก ด้านล่างมีไม้เล็กๆ รกทึบ ซึ่งส่วนใหญ่ป่าแบบนี้ จะอยู่แถบภูเขา หุบเขา

เขานาคเกิดป็นที่รู้จักด้านเกี่ยวกับ พระพุทธศาสนา แต่เดิมในสมัยสุวรรณภูมิอันรุ่งเรือง แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบัน ชาวภูเก็ตได้ส่งตัวแทน ไปอัญเชิญเสด็จพุทธองค์ มาโปรดชาวเมือง เมื่อพระองค์เสด็จมา พร้อมพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ที่แรกที่เสด็จก็คือ บริเวณเกาะแก้วพิสดาร ด้ทรงแนะนำข้อธรรม แก่ชาวบ้าน ชาวบ้านจึงขอให้พระองค์ ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ เป็นเครื่องสักการบูชาที่ริมน้ำ และที่สันเกาะบนก้อนหินใหญ่อีก 1 คู่ ขนาดเท่าครึ่งของคนปกติ แล้วเรียกขานต่อๆ มาว่า “ รอยพระพุทธบาทเกาะแก้วพิสดาร ” เมื่อขึ้นมาโปรดสัตว์ ที่ริมหาดแผ่นดินใหญ่ ชาวบ้านจึงกราบทูล ขอรอยพระหัตถ์ไว้อีก 1 รอย แถวนั้นจึงเรียกกันว่า “ เราไหว้ ” เนื่องจากเป็นสถานที่ที่กราบไหว้พระพุทธเจ้า และรอยพระหัตถ์ ต่อมาเมื่อกาลเวลาผ่านไป คนลืมรอยพระหัตถ์ไปแล้ว ประกอบกับสำเนียงพื้นเดิมเปลี่ยนไป คำว่า “ เราไหว้ ” จึงสั้นลง คือ สระ “ -เ ” หายไปเหลือแต่ “ รา ” และ พยัญชนะ “ ห ” หายไปเหลือแต่ “ ไว ” กลายเป็น “ ราไวย์ ” หรือหาดราไวย์ ในปัจจุบัน

ต่อมาพุทธองค์ ได้เสด็จตามคำเชิญของเทวดาและนาค จากริมหาดราไวย์ มาโปรดบนยอดเขา โดยประทับที่โขดหินใหญ่บนยอดเขานั้น พระพุทธองค์ ได้ตรัสสั่งสอนพระธรรม แก่เหล่าเทวดาและนาค จนเข้าใจในพระธรรม ไปเกิดจุติในสรวงสวรรค์ ที่บารมีธรรมสูงขึ้น มีรัศมีกายสว่างไสว ดังดอกไม้ไฟที่พุ่งสู่ท้องฟ้า าวบ้านซึ่งอยู่ใกล้บริเวณนั้น ได้เห็นปรากฏการณ์แห่งจิตวิญญาณนั้น จึงขนานนามยอดเขานั้นว่า “ นาคเกิด ” ส่วนเหล่านาคที่ยังไม่เข้าสู่ เทวธรรมชั้นสูง ก็ได้ทูลขอรอยพระบาท แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสักการบูชาแก่ต่อไป ได้แก่ รอยประทับนั่งของพระพุทธองค์ รอยพระหัตถ์ และรอยพระพุทธบาท

เขานาคเกิดนี้ เป็นยอดเขาที่สูงมาก และน่าจะสูงที่สุดในภูเก็ต ตั้งอยู่ในเขตติดต่อกัน ระหว่างตำบลกะรน และตำบลฉลอง อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต แต่ทางขึ้น หากไปทางตำบลฉลอง จะสะดวกและง่ายดายกว่า โดยไปตามเส้นทางในซอยยอด เสน่ห์ (หมู่ 10 ) ระยะทางจากปากซอย ถึงยอดเขาก็ประมาณ 6 กม. เส้นทางในช่วงแรกนั้น ลาดยางอย่างดี ถนนจะแคบไปบ้าง เพราะเป็นถนนในหมู่บ้าน ระหว่างทางบรรยากาศรอบๆ ร่มเย็น

พระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดของภูเก็ต ทางคณะกรรมการจัดสร้าง ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐบาล ภาคเอกชน ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธา ได้สร้างเพื่อให้เป็น พระพุทธรูปประจำเมืองภูเก็ต นามว่า " พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี" หน้าตักกว้าง 25.45 เมตร สูง 45 เมตร) เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

ข้อมูล :: Phuketindex

PHUKET TOURS: เที่ยวภูเก็ต :: หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง

PHUKET TOURS: เที่ยวภูเก็ต :: หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง

เที่ยวภูเก็ต :: หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง
















วัดฉลอง หรือ วัดไชยธาราราม
วัดฉลอง หรือ วัดไชยธาราราม เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ซึ่งมีเรื่องรวมถึงความศักดิ์สิทธิ์ คุณงามความดีของหลวงพ่อแช่มแห่งวัดฉลอง เป็นที่พึ่งให้แก่ชาวบ้าน ในครั้นการต่อสู้กับพวกอั้งยี่ และเรื่องเล่าเกี่ยวกับไม้เท้าของท่านที่จิ้มบริเวณที่เป็นไฝ หรือปาน จะทำให้จางไปเอง ( เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล )

นอกจากหลวงพ่อแช่มแล้วยังมีหลวงพ่อช่วง และหลวงพ่อเกลื้อม ซึ่งเป็นที่เคราพศรัทธาของชาวบ้านมาก ซึ่งท่านทั้งสองมีชื่อเสียงการปรุงสมุนไพร และรักษาโรค ถึงแม้ว่าปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปแล้ว แต่ก็ยังมีชาวบ้านที่มีเรื่องทุกข์ร้อน ก็จะไปกราบไหว้ บนบานไม่ขาดสาย ปัจจุบันนี้ได้ประดิษฐานองค์ท่านทั้งสาม ที่วิหารที่สร้างอย่างสวยงาม ซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้คนทั้งชาวไทย และต่างชาติ ต่างมากราบไหว้เป็นจำนวนมาก ทางวัดได้จัดอกไม้ ธูปเทียนไว้บริการ และบริเวณเดียวกัน ยังมีพระให้ท่านเช่าไปบูชาอีกด้วย ที่บริเวณวิหารทางวัดจัดให้จุดธูปเทียนด้านนอก และอธิษฐานตรงหน้าวิหาร โดยมีกระถามด้านหน้าให้ปักธูปเทียน ส่วนดอกไม้นำเข้าไปไว้ด้านในได้ และสามารถติดทององค์ท่าน หรือท่านที่ต้องการเสี่ยงซิมซ ีทางวัดก็มีไว้เหมือนกัน

พระมหาเจดีย์ พระจอมไท
พระมหาเจดีย์ พระจอมไท เป็นเจดีย์ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อไม่นาน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหลังของวัด ภายในเงียบสงบ บริเวณชั้นแรก จะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปรางค์ต่าง ๆ มากมาย และบริเวณด้านข้างผนัง จะเป็นภาพวาดพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า ตอนประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพาน ที่งดงามมาก เมื่อขึ้นไปด้านบนสุดจะเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ และด้านนอกของเจดีย์ สามารถที่จะชมทิวทัศน์ของบริเวณในวัดทั้งหมดได้อย่างสวยงาม

ท่านเจ้าวัด
ท่านเจ้าวัดคือพระประธานในวิหารเก่าแก่ อันเป็นที่ตั้งของวัดฉลองแต่โบราณ ก่อนย้ายออกมาตั้งอยู่ในที่ปัจจุบัน ซึ่งด้านซ้ายจะมีรูปหล่อของชายชรานั่งถือตะบันหมาก ชาวบ้านเรียกว่า " ตาขี้เหล็ก " ด้านขวามีรูปหล่อเป็นยักษ์ เรียกว่า " นนทรีย์ "





กุฎิจำลองหลวงพ่อท่าน
ภายในกุฎิจำลองทางวัดได้จัดทำหุ่นขี้ผึ้งจำลอง หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อช่วง หลวงพ่อเกลี้อม และเครื่องใช้ต่าง ๆ ของทั้งสามองค์ และตัวกุฎิยังเป็นแบบทรงไทย ซึ่งเป็นเรือนไทยที่สวยงามมาก






ข้อมูล :: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

อาหารพื้นบ้านภูเก็ต หมี่ฮกเกี้ยน



หมี่ฮกเกี้ยน
หมี่ฮเกี้ยนเป็นหมี่เหลืองเส้นใหญ่แบบสด นำมาผัดกับซีอิ๊ว ใส่ผักคะน้า และโดยมากจะมีเครื่องปรุงผสมเป็นพวกเนื้อหมู เนื้อไก่ ปลาหมึก ลูกชิ้น รสชาติจะออกมัน ๆ เค็ม ๆ และสามารถปรุงรสชาติได้ตามต้องการ เวลารับประทานจะกินกับต้นกุ้ยฉาย หัวหอม พริก

สถานที่รับประทาน
ปัจจุบันสามารถหารับประทานได้ตามร้านขายอาหารทั่วไป แต่ถ้าต้องการชิมรสชาติดังเดิม สามารถหารับประทานได้ที่บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา ร้านหมี่ต้นโพธิ์ หรือถนนพูนผล ร้านหมี่อ่าวเก้

ข้อมูล :: เทศบาลนครภูเก็ต

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อาหารพื้นบ้านภูเก็ต โลบะ



โลบะ
อาหารพื้นบ้านโลบะ เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมของคนภูเก็ตมาก โดยมากจะเป็นอาหารว่าง รับประทานช่วงกลางวัน โดยโลบะนั้นทำจากเครื่องในหมูประเภท ตับ หัวใจ ปอด และหัวหมู นำมาปรุงกับเครื่องพะโล้ เมื่อจะรับประทานจะลงไปทอดกับน้ำมันร้อน ๆ โดยมีแตงกวาเป็นผักแกล้ม และมีน้ำจิ่มรสชาติอร่อยมาก

สถานที่รับประทาน
ปัจจุบันเกือบหารับประทานได้ทั่วไป แต่ที่คนภูเก็ตนิยมรับประทานกันบริเวณสี่แยกเยาวราช และถนนกระบี่

ข้อมูล :: เทศบาลนครภูเก็ต

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภูเก็ตในอดีต





เดิมคำว่า ภูเก็ต นั้นใช้คำว่า ภูเก็จ อันแปลว่าเมืองแก้ว ตรงกับความหมายเดิมซึ่งชาวทมิฬเรียก มณีคราม ตามหลักฐาน พ.ศ. 1568 ภูเก็ตเป็นที่รู้จักของนักเดินเรือที่ใช้เส้นทางระหว่างจีนกับอินเดีย โดยผ่านแหลมมลายู หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดก็คือ หนังสือภูมิศาสตร์และแผนที่เดินเรือของปโตเลมี เมื่อประมาณ พ.ศ. 700 กล่าวถึงการเดินทางจากแหลมสุวรรณภูมิลงมาจนถึงแหลมมลายู ซึ่งต้องผ่านแหลม จังซีลอน หรือเกาะภูเก็ตนั่นเอง จากประวัติศาสตร์ไทย ภูเก็ตเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรตามพรลิงก์ ต่อมาจนถึงสมัยอาณาจักรศิริธรรมนคร เรียกเกาะภูเก็ตว่า เมืองตะกั่วถลาง เป็นเมืองที่ 11 ใน 12 เมืองนักษัตร โดยใช้ตราเป็นรูปสุนัข จนถึงสมัยสุโขทัย เมืองถลางไปขึ้นกับเมืองตะกั่วป่า ในสมัยอยุธยา ชาวฮอลันดามาสร้างสถานที่เก็บสินค้าเพื่อรับซื้อแร่ดีบุกจากเมืองภูเก็ต ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เกิดสงครามเก้าทัพขึ้น พระเจ้าปดุง กษัตริย์ของประเทศพม่าในสมัยนั้น ได้ยกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ต่าง ๆ จนมาถึงเมืองถลาง ขณะนั้นเจ้าเมืองถลางถึงแก่อนิจกรรม ท่านผู้หญิงจัน ภริยา และคุณมุก น้องสาว จึงรวบรวมกำลังต่อสู้กับพม่าจนชนะเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2328 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านผู้หญิงจันเป็น ท้าวเทพกระษัตรี และคุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รวบรวมหัวเมืองชายทะเลตะวันตกตั้งเป็น มณฑลภูเก็ต และเมื่อปี พ.ศ. 2476 ได้ยกเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาล เปลี่ยนมาเป็น จังหวัดภูเก็ต จนถึงปัจจุบัน

จังหวัดภูเก็ต :: ของฝาก ของที่ระลึก

อาหารพื้นเมือง
ภูเก็ตมีอาหารพื้นเมืองทั้งคาวหวานมากมายหลายชนิด มีรูปแบบวิธีการปรุงและรสชาติที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลิ้มลองรสชาติและซื้อกลับไปเป็นของฝากเสมอ อาหารเหล่านี้ได้แก่

ขนมจีนภูเก็ต นิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า มีน้ำแกงให้เลือกหลายประเภท เช่น น้ำซุป น้ำยา แกงไตปลา โดยรับประทานกับผักนานาชนิดพร้อมทั้งไข่ต้ม ปาท่องโก๋ และห่อหมก

เต้าซ้อ หรือขนมเปี๊ยะภูเก็ต

น้ำซุปภูเก็ต เป็นน้ำพริกกะปิน้ำใสๆ ใส่กุ้งสด หัวหอม พริก และมะนาว รับประทานกับข้าวหรือขนมจีน

น้ำพริกกุ้งเสียบ เป็นน้ำพริกแห้งตำกับกุ้งเสียบ รับประทานคู่กับผักสดต่างๆ

โลบะ เป็นเครื่องในหมูปรุงกับเครื่องพะโล้ นำมาทอดรับประทานกับเต้าหู้ทอดราน้ำจิ้ม

หมี่ฮกเกี้ยน เป็นเส้นหมี่เหลืองผัดซีอิ๊ว

หมี่หุ้นปาฉ่าง เป็นเส้นหมี่แห้งรับประทานกับน้ำต้มกระดูก

หมี่สั่ว เป็นอาหารเช้าของชาวภูเก็ต จะขายพร้อมกับข้าวต้ม หรือโจ๊ก

โอเต๊า ลักษณะคล้ายกับหอยทอดภาคกลาง ใช้หอยนางรมผัดกับแป้ง เผือก และไข่

โอ๊ะเอ๋ว เป็นของหวานคล้ายวุ้นน้ำเชื่อมใส่น้ำแข็ง ทำมาจากกล้วยน้ำว้าผสมกับสาหร่ายทะเลชนิดหนึ่ง

เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ต้นมะม่วงหิมพานต์เป็นต้นไม้พื้นเมืองที่นิยมปลูกกันมากในภูเก็ต ดังนั้นเม็ดมะม่วงหิมพานต์จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์อาหารอย่างหนึ่งที่นิยมซื้อกันเป็นของฝากทั้งในรูปอบแห้ง ทอด ฉาบ และอื่นๆ

สับปะรดภูเก็ต เป็นสับปะรดพันธุ์พื้นเมืองที่มีรสชาติหวานกรอบ อร่อย ต่างกับสับปะรดที่อื่น หาซื้อได้ที่ตลาดสดทั่วไป


--------------------------------------------------------------------------------

สินค้าที่ระลึก
นอกจากอาหารพื้นเมืองแล้ว ภูเก็ตยังมีสินค้าที่ระลึกอื่นๆ อีก อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เครื่องดีบุก เครื่องเขิน เครื่องหวาย ผ้าไหม เป็นต้น ซึ่งจะมีแหล่งร้านขายสินค้าที่ระลึกในตัวเมือง บริเวณถนนรัษฎา ถนนพังงา ถนนมนตรี เป็นต้น หรือบริเวณหาดต่างๆ อาทิ หาดราไว แหลมพรหมเทพ หาดกะตะ หาดกะรน หาดป่าตอง หาดสุรินทร์ เป็นต้น

เรือใบภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้าเปิดศึกหน22



นักกีฬาเรือใบจาก 30 ประเทศทั่วโลก รวมกว่า 2 พันชีวิต ร่วมระเบิดศึกเรือใบนานาชาติ ชิงถ้วยพระราชทาน "ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า 2008" ครั้งที่ 22 ระหว่างวันที่ 29 พ.ย. - 6 ธ.ค. นี้ ที่ กะตะบีช รีสอร์ทแอนด์สปา จ.ภูเก็ต
มร.เควิน วิทช์คราฟ ประธาน "ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า" พร้อมด้วย นาวาเอก วศินสรรพ์ จันทวรินทร์ ผู้ช่วยเลขาธิการสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทยฯ, นายพรหมโชติ ไตรเวช ผู้อำนวยการศูนย์ท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดภูเก็ต, มร.ไนเจิล คอร์นิค กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) และ มร.เฮนรี่ ยัง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าวการจัดการแข่งขันเรือใบนานาชาติ ชิงถ้วยพระราชทาน รายการ "ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า 2008" ครั้งที่ 22 ที่ เดอะ ริเวอร์ พรอมเมอนาด ซ.เจริญนคร 13 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 ต.ค. 51 ที่ผ่านมา
คณะกรรมการจัดการแข่งขันเรือใบนานาชาติ ชิงถ้วยพระราชทาน "ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า" ภายใต้การอำนวยการของสโมสรเรือใบราชวรุณในพระบรมราชูปถัมภ์, กองทัพเรือ และสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วยผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดงานแถลงข่าวการจัดการแข่งขันกีฬาเรือใบนานาชาติ "ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า" ขึ้น ในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา
โดยการแข่งขันจะจัดขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต ในเดือนธันวาคมของทุกปี อีกทั้งยังเป็นการเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งทรงเป็นนักกีฬาเรือใบที่มีพระปรีชาสามารถยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่พระองค์ท่านได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันเรือใบในการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ.2510 เป็นเวลานานมากกว่า 20 ปีแล้วที่งานนี้ได้กลายมาเป็นสัปดาห์แห่งการแข่งขันเรือใบระดับนานาชาติ ซึ่งได้รับการเผยแพร่ข่าวสารและประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก
สำหรับการแข่งขัน "ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า" ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 22 มีนักกีฬาเรือใบจาก 30 ประเทศทั่วโลกเดินทางเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 2,000 คน โดยจะมีการแข่งขันระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 6 ธันวาคม นี้ ที่ กะตะบีช รีสอร์ทแอนด์สปา จังหวัดภูเก็ต

ดำน้ำจังหวัดภูเก็ต


ภูเก็ต เป็นจังหวัดที่มีจุดดำน้ำลึกที่น่าสนใจอีกจังหวัดหนึ่ง นักดำน้ำสามารถเลือกซื้ออุปกรณ์ดำน้ำจากร้านที่มีอยู่มากมายบริเวณป่าตอง เลือกซื้อทัวร์ดำน้ำหลากหลายรายการ และสำรวจทะเลภูเก็ตตามเกาะน้อยใหญ่ด้านตะวันออกและด้านใต้ หมู่เกาะราชา เป็นหมู่เกาะเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของเกาะภูเก็ต ประกอบด้วยเกาะราชาใหญ่ และเกาะราชาน้อย จุดดำน้ำของเกาะราชาใหญ่อยู่ที่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเกาะ พื้นทะเลลาดลงจากระดับ 30 ฟุตลงไป ถึง 65 ฟุต มีแนวปะการังแข็งปกคลุม แต้มด้วยปลาดาวขนนกสีสด ส่วนเกาะราชาน้อย จุดดำน้ำอยู่ที่หัวเกาะด้านเหนือ ที่ความลึก 30-90 ฟุต เป็นดงปะการังอ่อน ที่เป็นที่อยู่ของฝูงปลานานาชนิด และเป็นจุดที่สามารถพบปลากบได้ด้วย เกาะดอกไม้ อยู่ระหว่างเกาะพีพี และเกาะภูเก็ต ผาด้านหนึ่งของเกาะดอกไม้ดิ่งลงจนถึงความลึก 80 ฟุต ในหน้าผานี้เองที่เป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์ทะเลนานาชนิด ทั้งปะการังแข็ง ปะการังอ่อน ปลาดาวขนนก หอยมือหมี ฟองน้ำ ปลาไหลมอร์เรย์ ปลามง ฝูงปลาสาก หินหมูสังนอกและหินหมูสังใน เป็นที่รู้จักในหมู่นักดำน้ำชาวต่างชาติในชื่อ Anemone Reef และ Shark Point หินหมูสังนอก เป็นดงของดอกไม้ทะเลและปะการังอ่อนที่เกาะหินใต้น้ำเป็นผืน ที่ความลึก 20 ฟุต ลงไปจนถึง 80 ฟุต หินหมูสังใน เป็นจุดดำน้ำที่มีความหลากหลายของสัตว์ทะเลสูงทั้งปะการัง กัลปังหา ฟองน้ำ ปลาเก๋า ปลาผีเสื้อ ปลาสิงโต รวมถึงฉลามกบ เรือจมคิงส์ครุยเซอร์ เป็นเรือเมล์ที่วิ่งระหว่างเกาะภูเก็ตและเกาะพีพี ได้จมลงบริเวณหินหมูสัง ที่ความลึกราว 80 ฟุต ปัจจุบันกลายเป็นบ้านใหม่ให้ฝูงปลามากมาย นักดำน้ำสามารถลัดเลาะไปตามชั้นต่าง ๆ ของเรือได้ การเดินทาง รถยนต์ จากกรุงเทพฯ สามารถใช้ทางหลวง 35 ธนบุรี-ปากท่อ ไปยังราชบุรี แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 4 จนถึงจังหวัดระนอง พังงา แล้วข้ามสะพานสารสินเข้าสู่จังหวัดภูเก็ต รวมระยะทาง 862 กิโลเมตร รถโดยสารประจำทาง มีรถออกจากสถานีขนส่งสายใต้ไปภูเก็ตทุกวัน บริษัท ภูเก็ต เซ็นทรัล จำกัด โทร. 0 2435 5019 บริษัท ภูเก็ตท่องเที่ยว จำกัด โทร. 0 2435 5018

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ข่าวสารท่องเที่ยว



วิ่ง วอร์ค แอนด์ รัน ภูเก็ต


มร. ชาโตะ เคน ผู้อำนวยการ ภูเก็ต-วอร์ค แอนด์ รัน แอสโซซิเอชั่น ร่วมกับ สงคราม ไกรสนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อเมซิ่ง ฟิลด์ จำกัด เป็นประธานแถลงข่าว วิ่ง วอร์ค แอนด์ รัน 2008 ณ ห้างสรรพสินค้าจังซีลอน ภูเก็ต โดยมี มร. ทาเคชิ โคฮามา จากสถานทูตญี่ปุ่น ทัศนี เทพประเสริฐวังศา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ภูเก็ต สแควร์ และ สุวรรณชัย ฤทธิ์รักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยจัดวิ่งดังกล่าวในวันที่ 12 ตุลาคมศกนี้ ท่ามกลางชาวญี่ปุ่นนับพันคนเข้าร่วมแข่งขันบนเส้นทางวิ่งเลียบหาดป่าตอง




ภาพข่าว: เปิดโครงการ “เที่ยวทั่วพัทยาและภูเก็ตใน 72 ชั่วโมง”


ที่1จากขวา) นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ด้านสื่อสารการตลาด, นางสาวไอลีน วี รองประธาน และผู้จัดการประจำประเทศไทย มาสเตอร์การ์ด เวิลด์วายด์ และนายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา ร่วมแถลงข่าวเปิด 2 โครงการพร้อมคู่มือนำเที่ยว เที่ยวทั่วพัทยาใน 72 ชั่วโมง หรือ 72hrs Amazing Thailand Pattaya และ เที่ยวทั่วภูเก็ตใน 72 ชั่วโมง หรือ 72hrs Amazing Thailand Phuket นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และกิจกรรมต่างๆ ที่พัทยา และภูเก็ต ณ โรงแรมโฟร์ ซีซัน เมื่อเร็วๆ นี้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
อลิซาเบท วงศ์วาสิน lisa@124comm.com, วันวิสาข์ สายสุด wanwisa@124comm.com
ปฐมธิดา พงษ์เหล็ง pathomthida@124comm.com
124 คอมมิวนิเคชั่นส จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2662 2266 แฟกซ์ 0 2204 2662




การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือมาสเตอร์การ์ดเปิดโครงการ “เที่ยวทั่วพัทยาและภูเก็ตใน 72 ชั่วโมง”


การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือมาสเตอร์การ์ดเปิดโครงการ “เที่ยวทั่วพัทยาและภูเก็ตใน 72 ชั่วโมง” หรือ 72hrs Amazing Thailand Pattaya and Phuket พร้อมสิทธิพิเศษมากมายจากที่พักและร้านค้าสุดฮิปมากมายในพัทยาและภูเก็ต
window.google_render_ad();
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ
มาสเตอร์การ์ด เวิลด์วายด์ ผู้ให้บริการด้านชำระเงินชั้นนำระดับโลก เปิดตัว 2 โครงการใหม่ เที่ยวทั่วพัทยาใน 72 ชั่วโมง หรือ 72hrs Amazing Thailand Pattaya และ เที่ยวทั่วภูเก็ตใน 72 ชั่วโมง หรือ 72hrs Amazing Thailand Phuket ต่อยอดการตอบรับอันเยี่ยมยอดของ 2 โครงการแรกในแคมเปญเดียวกัน คือ เที่ยวทั่วไทยใน 72 ชั่วโมงในเขตกรุงเทพและปริมณฑล หรือ 72hrs Amazing Thailand และเที่ยวทั่วเชียงใหม่ใน 72 ชั่วโมงหรือ 72hrs Amazing Thailand Chiang Mai อีกทั้งยังคงมอบความพิเศษให้นักท่องเที่ยวได้ทำความรู้จักกับเมืองพัทยาและภูเก็ตผ่านทางคู่มือ 72hrs Amazing Thailand ที่นำเสนอข้อมูลการท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใครและสิทธิประโยชน์ในแบบเอ็กซ์คลูซีฟอย่างที่อาจประเมินค่าไม่ได้ด้วยเงิน
นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ด้านสื่อสารการตลาด เปิดเผยถึงโครงการ “เที่ยวทั่ว
พัทยาใน 72 ชั่วโมง” หรือ 72hrs Amazing Thailand Pattaya และ “เที่ยวทั่วภูเก็ตใน 72 ชั่วโมง” หรือ 72hrs Amazing Thailand Phuket ว่า “โครงการ 72hrs Amazing Thailand เป็นโครงการที่ริเริ่มโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยโดยได้ผู้สนับสนุนหลักอย่างมาสเตอร์การ์ด มาช่วยกันนำเสนอสิ่งพิเศษสุดและโดดเด่นด้วยสไตล์ให้นักท่องเที่ยวเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้มีทริปการเดินทางอันน่าประทับใจตลอดระยะเวลาสั้นๆในไทย จากการเปิดตัวโครงการ 72hrs Amazing Thailand และ 72hrs Amazing Thailand Chiang Mai ผลการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเป็นไปด้วยดี จึงทำให้ททท.มีความมั่นใจในการเผยแพร่เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองท่องเที่ยวหลักอื่นๆ ในไทยอย่างพัทยาและภูเก็ต ที่ล้วนได้ชื่อว่าเป็นเมืองชายหาดอันดับหนึ่งทางฝั่งอ่าวไทยและอันดามันในใจของนักท่องเที่ยวไม่ว่าไทยหรือต่างประเทศ กิจกรรมมีสไตล์ที่เรามอบให้ผ่านทางแคมเปญนี้เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ช้อปปิ้งที่ได้รับการบรรจุในคู่มือนี้ล้วนแล้วแต่ถูกคัดเลือกมาแล้วว่ามีบริการเป็นเลิศ ที่จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับการเดินทางแม้จะเป็นเพียงทริปสั้นๆ ก็ตาม”
นางสาวไอลีน วี รองประธาน และผู้จัดการประจำประเทศไทย
มาสเตอร์การ์ด เวิลด์วายด์ กล่าวว่า “ภายหลังจากความสำเร็จของ 2 โครงการที่ผ่านมาในแคมเปญ 72hrs Amazing Thailand ครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มาสเตอร์การ์ดร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการเป็นกระบอกเสียงประชาสัมพันธ์ประเทศไทยให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รู้จักบ้านเราในแง่มุมที่หลากหลายมากขึ้น เป็นการเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่แสนพิเศษที่อาจซื้อหาไม่ได้ด้วยเงิน ดังเช่นสโลแกนของมาสเตอร์การ์ด บางสิ่งเงินซื้อไม่ได้ ที่เหลือคือมาสเตอร์การ์ด และเช่นเคยนักท่องเที่ยวผู้ถือบัตรมาสเตอร์การ์ดสามารถเพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวใน 2 เมืองท่องเที่ยวหลักของไทยอย่างพัทยาและภูเก็ตได้มากยิ่งขึ้นด้วยสิทธิพิเศษและส่วนลดมากมาย จากทั้งโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร สปา สนามกอล์ฟ รวมไปถึงร้านค้าอื่นๆทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการกว่า 100 แห่ง สุดท้ายนี้ มาสเตอร์การ์ดมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเป็นพันธมิตรหลักของททท. เพื่อช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายการเดินทางที่ใฝ่ฝันของเหล่านักท่องเที่ยวและเชื่อว่าจะมีความร่วมมือดีๆเช่นนี้ในอนาคตต่อไปอย่างแน่นอน”
ทั้งนี้ คู่มือท่องเที่ยว 72hrs Amazing Thailand Pattaya และ 72hrs Amazing Thailand Phuket จะมีวางจำหน่ายที่ร้านขายหนังสือชั้นนำทั่วไป รวมทั้งแจกจ่ายให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านสำนักงานททท.ในต่างประเทศและสำนักงานมาสเตอร์การ์ดในต่างประเทศ ทั่วโลก โดยข้อมูลในคู่มือประกอบด้วยรายละเอียดการท่องเที่ยว
พัทยาและภูเก็ตซึ่งมีการจัดพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ 4 สีสวยงาม รวมถึงส่วนลดพิเศษต่างๆมากมายสูงสุดถึง 50% จากสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการกว่า 100 แห่ง ที่จะมอบให้กับนักท่องเที่ยวจนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ The Zign Hotel, Nusa Playa Hotel & Spa, The Cliff Spa @ Royal cliff, Under Water World, Skydive Pattaya และ Orangery By the Sea เป็นต้น ในพัทยา และ Sheraton Grande Laguna, Sri Panwa, Banyan Tree Phuket, SALA Phuket Restaurant, Mali Waterfront, The Plaza Surin, Jungceylon Shopping Center และ The Royal Spa & Health Club เป็นต้น ในภูเก็ต
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ http://www.thailand72hrsamazing.com หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร. 1672






วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ข้อมูลการเดินทาง


รถยนต์ จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางสายธนบุรี-ปากท่อ (ทางหลวงหมายเลข 35) แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ข้ามสะพานสารสิน เข้าจังหวัดภูเก็ต ระยะทาง 862 กิโลเมตร -->
รถโดยสารประจำทาง บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารทั้งรถธรรมดา และรถปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ไปภูเก็ตทุกวัน สอบถามรายละเอียด โทร. 0 2434 7192 (รถปรับอากาศ) และโทร. 0 2434 5557-8 (รถธรรมดา) หรือ http://www.transport.co.th/ บริษัทเอกชน ติดต่อ บริษัท ภูเก็ต เซ็นทรัล ทัวร์ กรุงเทพฯ โทร. 0 2434 3233 ภูเก็ต โทร. 0 7621 3615, 0 7621 4335 และบริษัท ภูเก็ตท่องเที่ยว กรุงเทพฯ โทร. 0 2435 5018, 0 2435 5034 ภูเก็ต โทร. 0 7622 2107-9 สถานีขนส่งภูเก็ต โทร. 0 7621 1480
รถไฟ ไม่มีบริการรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปภูเก็ตโดยตรง หากต้องการเดินทางโดยรถไฟต้องไปลงที่สถานีรถไฟพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วต่อรถประจำทางเข้าจังหวัดภูเก็ต สอบถามรายละเอียดได้ที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690, 0 2223 7010, 0 2223 7020, 0 2220 4334 หรือ http://www.railway.co.th/
เครื่องบิน มีบริการเที่ยวบินระหว่าง กรุงเทพฯ-ภูเก็ตทุกวัน สอบถามตารางบิน และข้อมูลเพิ่มเติมที่สายการบินต่างๆ ดังนี้ 1. การบินไทย โทร. 1566, 0 2280 0060, 0 2628 2000 สำนักงานภูเก็ต โทร. 0 7621 1195, 0 7621 2499, 0 7621 2946 หรือ http://www.thaiairways.com/2. ภูเก็ตแอร์ โทร. 0 2679 8999 หรือ http://www.phuketairlines.com/3. บางกอกแอร์เวส์ โทร. 0 2265 5555 หรือ http://www.bankgkokair.com/4. ไทยแอร์เอเชีย โทร. 0 2515 9999 หรือ http://www.airasia.com/5. โอเรียนไทยแอร์ไลน์ โทร.0 2267 2999 หรือ http://www.orient-thai.com/6. นกแอร์ โทร. 1318 หรือ http://www.nokair.co.th/

ท่องไปกับใจตน


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับ ในหน้า นสพ. คม ชัด ลึก วันที่ 28 มิถุนายน 2550 เพียงวันเดียว มีโฆษณาสี่สีขนาดครึ่งหน้าของ จตุคามรามเทพ พร้อมกันถึง 3 รุ่น คือรุ่น มีแต่รวย สร้างโดย วัดเจ้าแปดทรงไตร พระนครศรีอยุธยา รุ่น รวยจริง
โดยมูลนิธิหลวงพ่อรวยปาสาทิโก และรุ่น รักแม่ ที่มีคำขวัญว่า กตัญญู รู้คุณ รู้ตอบแทน รักแม่ แม่มีแต่ให้ เชิญสั่งจอง จตุคามรามเทพ รุ่น รักแม่
นี่คือปรากฏการณ์วัตถุมงคลบันลือโลกจริงๆ เพราะไม่น่าจะมีที่ใดในโลกเสมอเหมือน แม้แต่ในอินเดีย ซึ่งมีประชากรพันล้านคน มีศรัทธาในศาสนาเข้มข้น เป็นแหล่งกำเนิดทั้งศาสนาพุทธและฮินดู เป็นที่มาของคำว่า พระเทวราชโพธิสัตว์จตุคามรามเทพ (เทวราช เป็นคติฮินดู, พระโพธิสัตว์เป็นคติพุทธฝ่ายมหายาน) แต่อินเดียก็ไม่เคยมีวัตถุมงคลใดจะมีมูลค่าการตลาดถึง 4 หมื่นล้านบาทเหมือน จตุคามรามเทพ ผมจึงยกให้เป็น สิ่งมหัศจรรย์ เสียยิ่งกว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกใหม่ ที่กำลังจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในวันนี้ ณ กรุงลิสบอน โปรตุเกส โดยถือฤกษ์งามยามเด็ด คือวันที่ 7 กรกฎาคม 2007 หรือ 07.07.07
ซึ่งผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่า การคัดสรร 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกใหม่ครั้งนี้ มีหลักเกณฑ์ที่คลุมเครือ ถึงขนาดเอาอนุสาวรีย์เทพีสันติภาพของอเมริกา อายุไม่ถึง 200 ปี มาเทียบชั้นกับพีระมิดของอียิปต์และกำแพงเมืองจีน ที่เก่าแก่หลายพันปี แถมใช้วิธีให้คนโหวตผ่านเวบไซต์ ซึ่งไม่อาจตรวจสอบได้ งานนี้จึงถือเป็น ตลกขมแห่งศตวรรษ หรือ อะคาเดมี แฟนตาเชีย ในวงการโบราณคดีก็คงไม่ผิดนัก
แต่ในขณะที่ชาวโลกส่วนหนึ่งใจจดใจจ่อรอฟังผล 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกใหม่ ก็พอดีมีการประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกแห่งองค์การยูเนสโก ครั้งที่ 31 ที่เมืองไครสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน-2 กรกฎาคม เพื่อพิจารณาขึ้นทะเบียนโบราณสถานและแหล่งธรรมชาติเป็น มรดกโลก โดยใช้หลักเกณฑ์ทางวิชาการมากกว่าจะยึดความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ที่สำคัญคือคณะกรรมการมรดกโลกมาจากตัวแทนประเทศสมาชิกทั่วโลก รวมทั้งจากประเทศไทย คือ ศ.ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร
แต่เมื่อมาประชันกับรหัสลับ 07.07.07 เข้าโดยบังเอิญ องค์การยูเนสโกถึงกับต้องเปิดแถลงข่าวเป็นกรณีพิเศษเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น กับการรณรงค์คัดเลือก 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกใหม่ แล้วยังเปิดเผยอีกว่ายูเนสโกได้รับการเชิญชวนหลายครั้งจาก นายเบอร์นาร์ด เวเบอร์ เจ้าของไอเดีย 07.07.07 แต่ก็ตัดสินใจไม่เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ทั้งเห็นว่าไม่ควรนำเอารายชื่อ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกใหม่ ซึ่งดำเนินการโดยส่วนบุคคล และเป็นความคิดเห็นของประชากรโลกส่วนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ไปเปรียบเทียบกับบัญชีรายชื่อมรดกโลก ซึ่งคัดสรรด้วยกระบวนวิธีศึกษาวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (จาก...http://whc.unesco.org/en/news)
นับเป็นถ้อยแถลงที่นุ่มนวลแต่เจ็บแสบดีทีเดียว ทว่าที่เจ็บแสบกว่าคือก่อนหน้านั้น นางเทีย เวียริง โฆษกมูลนิธิ 7 สิ่งมหัศจรรย์โลกใหม่ ก็เคยแถลงข่าวถึงความเลอเลิศของ 07.07.07 ครั้นเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าแล้วคุณคิดอย่างไรกับบัญชีมรดกโลกของยูเนสโก เจ้าหล่อนก็ตอบอย่างไม่ยี่หระว่า ...ก็ดีหรอกนะ แต่มันเยอะเหลือเกิน ชั้นอยากรู้นักว่าจะมีใครจดจำชื่อมรดกโลกได้สัก 20 ชื่อไหม มันไม่อยู่ในใจคนทั้งโลกเลยนะ... โอ้ จอร์จ...เธอยอดมาก!
ที่น่าแปลกระคนตลกคือ ในรายชื่อคณะที่ปรึกษามูลนิธิ 7 สิ่งมหัศจรรย์โลกใหม่ มีชื่อนายเฟเดอริโก เมเยอร์ อดีตเลขาธิการองค์การยูเนสโก ชาวสเปน รวมอยู่ด้วย และเขาคือผู้ที่มูลนิธิมอบหมายให้คัดเลือกสิ่งมหัศจรรย์ 77 แห่ง เหลือ 21 แห่ง ไปให้คนโหวตเชียร์ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีพีระมิดอียิปต์ กับนครวัดของกัมพูชา ติดกลุ่มนี้ด้วย แต่ไม่ติดตัวเต็ง 1 ใน 10 จนมีการประท้วงกันวุ่นวายอย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้ว
ในที่สุด 7 สิ่งมหัศจรรย์พันลึกของโลกใหม่ จะมีที่ใดบ้าง แล้วจะมีการประท้วงอีกไหม วันนี้คงรู้กัน แต่ที่แน่ๆ ปีนี้ยูเนสโก (องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกใหม่จำนวน 22 แห่งทั่วโลก เฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมี 7 แห่ง คือ ป่าหินปูน ในมณฑลยูนนาน-กุ้ยโจว-กวางสีของจีน หอคอยไคผิง มณฑลกวางตุ้งของจีน เหมืองแร่เงิน อิวามิ กินซัน บนเกาะฮอนชูในญี่ปุ่น ป้อมปราการพาร์เทียน เติร์กเมนิสถาน ป้อมแดงแห่งอัคระ อินเดีย เกาะเชจู เกาหลีใต้ และ โอเปร่า เฮ้าส์ นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย
น่าสังเกตว่าปีนี้ภูมิภาคอุษาคเนย์ หรืออาเซียน ไม่ได้มรดกโลกเลย ของไทยเรามีข่าวว่ากลุ่มปราสาทหินบนเส้นทางชัยวรมัน คือพิมาย-พนมรุ้ง-เมืองต่ำ กับอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อุดรธานี มีแนวโน้มจะได้ แต่ก็ไม่ได้ คงต้องรอปีหน้า ส่วนกัมพูชาเสนอ ปราสาทเขาพระวิหาร ก็ไม่ได้เช่นกัน กรณีนี้มีปัญหาตั้งแต่ขั้นตอนเสนอแล้ว เพราะกรรมการมรดกโลกฝ่ายไทยแย้งว่าองค์ประกอบส่วนหนึ่งของเทวสถานเขาพระวิหารอยู่ในเขตแดนไทย จึงควรเสนอเป็นมรดกโลกร่วมกัน ซึ่งกัมพูชาคงไม่ยอม กว่าจะหาข้อสรุปได้คงต้องเจรจากันอีกหลายยก
สรุปรวมแล้วถึงวันนี้ องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้วทั้งสิ้น 852 แห่งทั่วโลก ซึ่งอาจไม่มหัศจรรย์พันลึกและยากจะจดจำได้หมด แต่ตรวจสอบแล้วมีราคาน่าเชื่อถือกว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ (กำมะลอ) ของโลกใหม่เป็นไหนๆ ครับ
ชมรมท่องอุษาคเนย์ขอเชิญร่วมเดินทาง ท่องป่าหินมรดกโลกยูนนาน เมืองโบราณต้าหลี่ เมืองมรดกโลกลี่เจียง วันที่ 10-14 สิงหาคม สำรองที่นั่ง โทร.0-2637-7321-2, 08-1823-7373
เรื่องและภาพ...ธีรภาพ โลหิตกุล
ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภูเก็ต พร้อม100%จัดงานถือศีลกินผักถวายในหลวงฯ ( ข่าวภูเก็ต )


“ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย” พร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์จัดงานประเพณีถือศีลกินผัก เผยเสื้อเหลืองร่วมเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว ขายดียอดซื้อเพียบนายธีรวุฒิ ศรีตุลาลักษณ์ ประธานศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย จังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการจัดงานประเพณีถือศีลกินผักของศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย และศาลเจ้าต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22- 30ต.ค.49 ว่า ขณะนี้การเตรียมความพร้อมในการจัดงานต่างๆของประเพณีถือศีลกินผักที่จังหวัดภูเก็ตได้เตรียมความพร้อมในการจัดงานอย่างเต็มที่ 100% แล้วทั้งในเรื่องของการจัดเตรียมอาหาร ม้าทรง และอุปกรณ์ต่างๆโดยเฉพาะในส่วนของศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยที่จัดให้มีการจำหน่ายเสื้อเหลืองเพื่อให้ประชาชนร่วมสวมใส่ในงานประเพณีถือศีลกินผัก เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งเสื้อที่นำออกมาจำหน่ายนั้นจำหน่ายในราคาตัวละ 48 บาท ขณะนี้จำหน่ายไปแล้วกว่า 20,000 ตัวนายธีรวุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับงานประเพณีถือศีลกินผักในปีนี้คาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมประเพณีถือศีลกินผักจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งนักท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งในส่วนของศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยนั้นได้จัดเตรียมห้องพักไว้บริการฟรีสำหรับผู้ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อเข้าร่วมพิธีดังกล่าวด้วยโดยสามารถรองรับได้ 300 คน และขณะนี้มีประชาชนจองห้องพักแล้วประมาณ 100 คน และยังมีห้องว่างเหลืออยู่หากผู้ใดสนใจสามารถติดต่อจองห้องพักล่วงหน้าได้ที่ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย
ข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์

เพื่อนภูเก็ตทัวร์

ข่าวสารท่องเที่ยว

แผนที่ดาวเทียม